คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4500/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้การกระทำอันเป็นมูลให้จำเลยฟ้องโจทก์จะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่จำเลยได้ฟ้องเท็จโจทก์หลายคดี โดยแบ่งการกระทำเป็นหลายครั้งหลายกรรมแสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาอัน เดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรม
เมื่อจำเลยเอาความเท็จมาฟ้องคดีโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและความผิดของจำเลยย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยฟ้องคดี หาใช่ความผิดของจำเลยเกิดขึ้นและโจทก์เป็นผู้เสียหายเมื่อคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ถึงที่สุดแล้วไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องทั้งสี่สำนวนว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันเอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ทั้งสองต่อศาลอาญากล่าวหาว่าโจทก์กระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอมและยักยอก รวม ๕ สำนวน ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๕
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้องเฉพาะนายนิมนต์จำเลย
นายนิมนต์จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านายนิมนต์จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๕
นายนิมนต์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายนิมนต์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่นายนิมนต์จำเลยฎีกาว่าแม้โจทก์ทั้งสองจะฟ้องจำเลยมาหลายคดีก็ตาม แต่ตามลักษณะของคดีที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดนั้น เห็นได้ว่า เป็นมูลคดีอันเดียวกันโดยมีเจตนาอันเดียวกันและแม้จำเลยจะยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองหลายคดีโดยแบ่งการกระทำเป็น หลายครั้งก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน นั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อจำเลยเองก็ยอมรับว่าจำเลยฟ้องโจทก์หลายคดีโดยแบ่งการกระทำเป็นหลายครั้ง เช่นนี้แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาอันเดียวกัน เมื่อความผิดของจำเลยเกิดจากการที่จำเลยฟ้องโจทก์ ย่อมเห็นได้ว่าการกระทำความผิดของจำเลยนั้นแบ่งการกระทำเป็นหลายครั้งหลายกรรมเช่นเดียวกับที่จำเลยฟ้องโจทก์ ทั้งจำเลยก็ประสงค์จะให้ศาลลงโทษโจทก์หลายกรรม จะอ้างว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวหาได้ไม่ นอกจากนี้โจทก์ทั้งสองก็ฟ้องจำเลยเป็น ๔ คดี แต่ละคดีนั้นระบุความผิดของจำเลยที่ฟ้องโจทก์ในต่างคดีกันเห็นได้ชัดว่าโจทก์ฟ้องขอให้ศาลลงโทษจำเลยต่างกรรมต่างวาระกัน การกระทำของจำเลยตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาก็เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์กับพวกยังไม่ถึงที่สุดเพราะยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาไม่เป็นการแน่ชัดว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาของโจทก์หรือไม่ ศาลจะวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อกล่าวหาของโจทก์ยังไม่ได้ โจทก์ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยเอาความเท็จมาฟ้องคดีโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและความผิดของจำเลยย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยฟ้องคดี หาใช่ความผิดของจำเลยเกิดขึ้นและโจทก์เป็นผู้เสียหายเมื่อคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ถึงที่สุดแล้ว ดังข้อฎีกาของจำเลยไม่
พิพากษายืน

Share