แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เช่าเรือฉ้อโกง เอาเรือของเจ้าของไปขายให้แก่ผู้อื่น โดยปลอมคนว่าเป็นเจ้าของเรือ และลงชื่อเจ้าของเรือปลอมในสัญญาซื้อขายที่อำเภอแม้ผู้ซื้อจะรับซื้อไว้โดยสุจริต ก็ไม่ได้กรรมสิทธิในเรือนั้น เจ้าของเรือย่อมมีสิทธิในเรือนั้น เจ้าของเรือย่อมมีสิทธิเรียกคืนและให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้นได้
แม้ผู้ตายจะมีบุตรและภิริยาอยู่ก็ดี บิดาของผู้ตายก็เป็นทายาทและมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายเหมือนกัน บิดาของผู้ตาย จึงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องทรัพย์มรดกของผู้ตายจากผู้ที่ไม่มีสิทธิยึดถือคืนมาได้
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องอ้างว่า นายแจ้บุตรโจทก์ซื้อเรือพิพาทไว้จากนายล้วน โดยทำสัญญาซื้อขายกันเอง ภายหลังนายบุญขอเช่าเรือพิพาทไป แล้วปลอมตัวเป็นนายล้วน ทำการขายเรือพิพาทให้แก่จำเลย ณ ที่ว่าการอำเภอ บัดนี้นายแจ้บุตรโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเรือระหว่างจำเลยกับนายบุญซึ่งปลอมตัวมาเป็นนายล้วนเสีย
จำเลยต่อสู้ว่า ได้ซื้อเรือมาจากนายล้วนโดยสุจริต ฯลฯโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกดถอนนิติกรรมซื้อขาย ให้จำเลยมอบเรือแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นายบุญฉ้อโกงเอาเรือพิพาทของนายล้วนมาขายให้จำเลย เมื่อนายบุญไม่ใช่เจ้าของเรือ แต่ได้ปลอมตัวเป็นนายล้วนทำการขายเรือพิพาทแก่จำเลย แม้จำเลยจะซื้อไว้โดยสุจริต ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ
ส่วนประเด็นที่จำเลยโต้เถียงว่าโจทก์เป็นเพียงบิดานายแจ้ ๆ มีบุตรภริยาอยู่ โจทก์ไม่สิทธิฟ้องนั้น เห็นว่าโจทก์เป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกนายแจ้ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์มรดกได้ เว้นแต่ผู้ครอบครองไว้ จะมีสิทธิดีกว่า คดีเรื่องนี้ ไม่ปรากฎว่าจำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์แต่ประการใด ศาลล่างทั้ง ๒ พิพากษาหใ้จำเลยคืนเรือแก่โจทก์ชอบแล้ว
คงพิพากษายืน