แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ปี 2547 หลังจากฟ้องคดีแล้วนั้น เป็นการฟ้องขอให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยที่จำเลยยังไม่มีหนี้ที่ต้องชำระ แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์จะได้ระบุจำนวนเบี้ยประกันภัยขอให้จำเลยชำระ ก็เป็นจำนวนที่โจทก์กำหนดขึ้นเองโดยยังมิได้มีการชำระแทนจำเลยไปจริง จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่อาจบังคับให้ได้
ตามสัญญากู้เงินระบุว่า “ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้เป็นรายเดือนสำหรับเงินกู้ที่ค้างชำระในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี โดยยอมชำระนับแต่วันได้รับเงินกู้ไป
ในกรณีมีเหตุจำเป็นที่ผู้ให้กู้จะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยแล้ว ผู้กู้ยินยอมให้ผู้ให้กู้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนดไว้ข้างต้นได้ตามที่เห็นสมควรเมื่อใดก็ได้แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งนี้ผู้ให้กู้ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้กู้ทราบล่วงหน้า” ความในสัญญาดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้ตลอดไป แต่โจทก์มีสิทธิเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นได้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ตามหนังสือสัญญากู้ไม่มีข้อความใดที่ระบุว่าให้โจทก์เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นได้ในกรณีที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนดในสัญญา การที่โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยให้เพิ่มสูงขึ้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นเบี้ยปรับ แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้แสดงข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นที่โจทก์ต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา โจทก์จึงเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราสูงขึ้นเกินกว่าร้อยละ 16 ต่อปี ตามที่ระบุในสัญญาไม่ได้
ศาลไม่มีหน้าที่ต้องคิดดอกเบี้ยและยอดเงินที่ถูกต้องให้โจทก์ เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องคิดยอดมาให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เมื่อโจทก์มิได้คิดมา ศาลก็ชอบที่จะยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวน 205,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี กำหนดชำระเงินคืนให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 15 ปี นับแต่กู้เงินไปแล้วจำเลยผิดนัดผิดสัญญาโดยชำระหนี้ให้โจทก์เพียงบางส่วน โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,315,869.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 569,922.52 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัย 341.96 บาท ทุกวันที่ 2 เมษายน ของทุกสามปี เริ่มแต่วันที่ 2 เมษายน 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามต้นเงินและอัตราดอกเบี้ยจำนวนต่างกันหลายจำนวน โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประการแรก ตามหนังสือสัญญากู้เงินและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกัน มีความว่าจำเลยจะเอาประกันอัคคีภัยสิ่งปลูกสร้างที่จำนองตามข้อตกลงนี้ไว้กับบริษัทประกันภัยที่โจทก์เห็นชอบ โดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ ตามจำนวนเงินที่โจทก์จะแจ้งให้ทราบแต่ละปี โดยจำเลยยินยอมเสียเงินเบี้ยประกันภัยเองตลอดไปทุกปีจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ถ้าจำเลยไม่จัดการเอาประกันอัคคีภัยดังกล่าว และโจทก์ได้จัดการเอาประกันอัคคีภัยเอง จำเลยยินยอมนำเงินเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ได้จ่ายไปมาชำระจนครบถ้วนภายในหนึ่งเดือน ตามข้อตกลงดังกล่าวหากโจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยแทนจำเลยไปจำเลยก็ต้องชำระคืนแก่โจทก์ ดังนั้นหากโจทก์ยังมิได้ชำระเบี้ยประกันภัยแทนจำเลย จำเลยก็ยังไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระเบี้ยประกันภัยคืนแก่โจทก์ การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ปี 2547 หลังจากฟ้องคดีแล้วนั้น เป็นการฟ้องขอให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยที่จำเลยยังไม่มีหนี้ที่ต้องชำระ แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์จะได้ระบุจำนวนเบี้ยประกันภัยขอให้จำเลยชำระเป็นจำนวน 341.96 บาท ก็เป็นจำนวนที่โจทก์กำหนดขึ้นเอง โดยยังมิได้มีการชำระแทนจำเลยไปจริง จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่อาจบังคับให้ได้ ที่ศาลชั้นต้นยกคำขอส่วนนี้ชอบแล้ว
ประการที่สอง ตามสัญญากู้เงินระบุว่า “ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้เป็นรายเดือนสำหรับเงินกู้ที่ค้างชำระในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี โดยยอมชำระนับแต่วันได้รับเงินกู้ไป
ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่ผู้ให้กู้จะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยแล้ว ผู้กู้ยินยอมให้ผู้ให้กู้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนดไว้ข้างต้นได้ตามที่เห็นสมควรเมื่อใดก็ได้แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งนี้ผู้ให้กู้ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้กู้ทราบล่วงหน้า” ความในสัญญาดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้ตลอดไป แต่โจทก์มีสิทธิเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นได้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ตามหนังสือสัญญากู้เงินไม่มีข้อความใดที่ระบุว่าให้โจทก์เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นได้ในกรณีที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนดในสัญญา การที่โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยให้เพิ่มสูงขึ้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นเบี้ยปรับ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาว่าการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อย่างไรก็ดีโจทก์ไม่ได้แสดงข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นที่โจทก์ต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา โจทก์จึงเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราสูงขึ้นเกินกว่าร้อยละ 16 ต่อปี ตามที่ระบุในสัญญาไม่ได้
ประการสุดท้าย ดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกจากจำเลยหลังจากนำดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้าเป็นต้นเงินครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2528 เป็นต้นมาคำนวณจากต้นเงินที่ไม่ถูกต้อง เป็นเวลานานกว่า 10 ปี และมีการเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงเกินกว่าสิทธิพึงได้ของโจทก์ ศาลไม่มีหน้าที่ต้องคิดดอกเบี้ยและยอดเงินดังกล่าวให้โจทก์ เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องคิดยอดมาให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวไว้ในฟ้อง ชอบที่ศาลฎีกาจะยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ.