แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2542 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ได้ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน202,314 บาท และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2543จำเลยที่ 2 ได้ขอเข้าทำสัญญารับผิดรับใช้กับโจทก์ ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ คำฟ้องของโจทก์มีมูลฐานมาจากการที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินและสินค้าเป็นข้อสำคัญ ซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดว่า จำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินและสินค้าไปเมื่อใด เงินที่ยักยอกเป็นจำนวนเท่าใด สินค้าที่ยักยอกเป็นสินค้าประเภทใดจำนวนเท่าใด และราคาเท่าใด แม้โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญารับผิดรับใช้ด้วย แต่หนี้ตามสัญญารับผิดรับใช้ก็มีมูลฐานมาจากที่โจทก์กล่าวหาจำเลยที่ 1ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 2 ย่อมยกเป็นข้อต่อสู้ถึงการมีอยู่ จำนวนและความสมบูรณ์แห่งหนี้ดังกล่าวได้ เมื่อโจทก์มิได้กล่าวโดยแจ้งชัดถึงเรื่องจำเลยที่ 1ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ไป จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2542 จำเลยที่ 1 ได้เข้าเป็นพนักงานของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานขาย ดูแลพื้นที่ภาคใต้ทุกจังหวัด โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันในความเสียหายหรือความผิดใด ๆ ที่จำเลยที่ 1 ได้ก่อขึ้นในระหว่างการเป็นพนักงานของโจทก์ ต่อมาประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2542 จำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 202,314บาท และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันได้ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 ทั้งหมดอย่างลูกหนี้ร่วม เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2543 จำเลยที่ 2 ได้ขอเข้าทำสัญญารับผิดรับใช้ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ5,000 บาท รวม 11 เดือน และหนี้ส่วนที่เหลืออีก 147,314 บาท จำเลยจะชำระจนครบภายในวันที่ 30 มีนาคม 2544 รายละเอียดปรากฏตามหนังสือสัญญารับผิดรับใช้ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 เมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามสัญญาปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ผิดนัดตลอดมา โจทก์ได้ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าเสียหายจำนวน 202,314 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 12 เดือน เป็นเงิน 30,287 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 232,611 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 232,611 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 202,314 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมโดยโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์เป็นราคาถึง 202,314 บาท แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่า เงินและสินค้าของโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกนั้นมีรายละเอียดเป็นอย่างไร ทั้งไม่ได้แนบเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเงินและสินค้าดังกล่าวมาในฟ้องด้วย ทำให้จำเลยไม่อาจเข้าใจในคำฟ้องและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามประเด็นแห่งคดีที่โจทก์อุทธรณ์ว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่โดยโจทก์อ้างด้วยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญารับผิดรับใช้ซึ่งเป็นหนี้ที่มีกำหนดจำนวนแน่นอน มิได้ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในมูลหนี้ละเมิด เพราะมูลหนี้ละเมิดระงับไปแล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนที่เป็นข้ออ้างแห่งข้อหาว่าประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม2542 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ได้ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 202,314 บาท และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ได้ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2543 จำเลยที่ 2 ได้ขอเข้าทำสัญญารับผิดรับใช้กับโจทก์ โดยตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือน รายละเอียดปรากฏตามหนังสือรับผิดรับใช้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 เมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามสัญญา จำเลยที่ 2 ผิดนัดตลอดมา โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าเสียหายจำนวน202,314 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และโจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมุ่งเน้นถึงการเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้อันมีมูลมาจากการที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์เป็นข้อสำคัญ ซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายในคำฟ้องโดยกล่าวแสดงให้แจ้งชัดว่า จำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ไปเมื่อใด เงินที่ยักยอกเป็นจำนวนเท่าใดสินค้าที่ยักยอกเป็นสินค้าประเภทใด จำนวนเท่าใด และราคาเท่าใด หรือมิฉะนั้นโจทก์ก็จะต้องมีเอกสารหรือหลักฐานที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินหรือรายการสินค้าที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกไปแนบท้ายฟ้องด้วย แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญารับผิดรับใช้ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ด้วยก็ตาม แต่หนี้ตามสัญญารับผิดรับใช้ก็มีมูลฐานมาจากที่โจทก์กล่าวหาจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 2 ย่อมยกเป็นข้อต่อสู้ถึงการมีอยู่ จำนวน และความสมบูรณ์แห่งหนี้ดังกล่าวได้ เมื่อโจทก์มิได้กล่าวแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหากับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในเรื่องจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ไปคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาวินิจฉัยคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน