แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซื้อที่ดินมีโฉนดแล้วแต่มิได้ไปทำหนังสือซื้อขายหรือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ได้เข้าตัดฟืนเก็บพุทรา และให้คนเช่าที่เพื่อเก็บพุทราไปขายแต่ไม่ได้เพาะปลูกสิ่งใดเพิ่มขึ้น คงทิ้งให้ที่รกรุงรังอย่างเจ้าของเดิมเคยปล่อยไว้ เช่นนี้ถือว่าโจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทตามนัยแห่งประมวลแพ่งฯ มาตรา 1382 แล้ว เมื่อครอบครองมาเกิน 10 ปีก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าได้ซื้อไร่โฉนดที่ 5274 ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ไว้จากนายอ่อง นางล้วน บิดามารดาจำเลยประมาณ 40 ปี โดยเจ้าของได้มอบโฉนดให้ และโจทก์ได้ครอบครองมาเกิน 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ บัดนี้ โจทก์จะขายที่นี้ จำเลยไปคัดค้าน จึงมาฟ้องมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง และให้ศาลสั่งว่าที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า บิดามารดากู้เงินโจทก์มา 200 บาท และมอบที่ให้ยึดถือไว้เป็นประกัน ส่วนจำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่ ส่วนโจทก์มิได้ครอบครอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยเถียงขึ้นมาว่าโจทก์มิได้เข้าทำการเพาะปลูกทำให้เกิดประโยชน์ในที่ดินเพียงแต่ตัดพืนในที่พิพาท เก็บผลพุดซาขาย และให้คนเช่าเก็บผลพุดซาไม่เรียกว่าครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ได้วินิจฉัยว่า ที่ดินรายพิพาทแปลงนี้เป็นที่ไร่มีโฉนดแสดงกรรมสิทธิ์อยู่แล้ว ไม่ใช่ที่ป่าและไม่ใช่ที่ดินเพียงได้รับใบใบเหยียบย่ำ แม้จะปล่อยให้รกรุงรังเหมือนสภาพที่เจ้าของเดิมปล่อยไว้ และเพียงเข้าไปตัดฟืน ไปเก็บพุดซามาขาย และให้คนเช่าเก็บพุดซา ก็เป็นการครอบครองทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว ฯลฯ จึงพิพากษายืน