คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6910/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปกระทำชำเราเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 บิดาและ ศ. มารดาในฐานะผู้ดูแลและผู้มีอำนาจปกครอง จึงเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์มีอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้เสียหายที่ 2 ผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปกระทำชำเรา 5 ครั้ง ต่างวันต่างเวลากัน แม้จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 รายเดียวกัน ลักษณะการกระทำความผิดอย่างเดียวกัน สถานที่เกิดเหตุเดียวกัน และมีเจตนาประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกัน แต่จำเลยกระทำความผิดแต่ละครั้งต่างวันต่างเวลามิได้กระทำต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยแต่ละครั้งจึงแยกต่างหากจากกันเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ตาม ป.อ. มาตรา 91

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 318
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม (เดิม), 319 วรรคหนึ่ง (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา ผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย จำคุก 6 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา ผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย รวม 4 กระทง จำคุกกระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 22 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า นางสาว ส. ผู้เสียหายที่ 1 ขณะเกิดเหตุอายุ 15 ปีเศษ ถึง 16 ปี ผู้เสียหายที่ 1 เป็นบุตรของนาย ส. ผู้เสียหายที่ 2 กับนาง ศ. ผู้เสียหายที่ 1 พักอาศัยและอยู่ในความปกครองของผู้เสียหายที่ 2 กับนาง ศ. ซึ่งเคยเป็นลูกจ้างของจำเลย ผู้เสียหายที่ 1 มีภาวะสติปัญญาบกพร่องระดับน้อย วัดไอคิวได้ 65 มีสติปัญญาต่ำกว่าอายุจริง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ เห็นว่า แม้ว่าผู้เสียหายที่ 1 จะมีภาวะสติปัญญาบกพร่อง วัดไอคิวได้เพียง 65 ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนาย ส. นักจิตวิทยาประจำบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพิษณุโลก เบิกความว่า หลังจากทราบเหตุผู้เสียหายที่ 1 ถูกกระทำชำเราได้รับตัวผู้เสียหายที่ 1 มาพักที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพิษณุโลก โดยผู้เสียหายที่ 2 และนาง ศ. บิดามารดาผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม ผู้เสียหายที่ 1 เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พยานฟัง ระหว่างที่ผู้เสียหายที่ 1 อยู่ที่บ้านพักดังกล่าว พยานได้พูดคุยกับผู้เสียหายที่ 1 พบว่าผู้เสียหายที่ 1 มีลักษณะเป็นคนคิดช้ากว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกัน แต่สามารถพูดจาโต้ตอบสื่อสารเข้าใจได้ตามปกติ แพทย์ลงความเห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 มีสติปัญญาบกพร่องน้อย นอกจากนี้ยังมีแพทย์หญิง พ. ผู้เชี่ยวชาญด้านสาขาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น ประจำโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก เบิกความว่า เจ้าหน้าที่จากองค์การบริหารส่วนตำบลไผ่ขอดอน นำผู้เสียหายที่ 1 มาให้ตรวจประเมินสติปัญญาจึงได้ส่งตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปประเมินไอคิวด้วยเครื่องมือที่เป็นมาตรฐานสากล ผลตรวจพบว่า ผู้เสียหายที่ 1 มีภาวะสติปัญญาบกพร่องระดับเล็กน้อย วัดไอคิวได้ 65 จากสาเหตุที่ผู้เสียหายที่ 1 มีภาวะดังกล่าวหากประเมินสติปัญญาของผู้เสียหายที่ 1 ปัจจุบันมีอายุ 17 ปี 10 เดือน จะเทียบได้กับสมองของเด็กอายุ 11 ปีครึ่ง โดยประมาณ สามารถเข้าใจคำถามและตอบคำถามได้ สามารถสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ได้ตามปกติ และมีพันตำรวจโท ม. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก เบิกความว่า นาย ส. พาผู้เสียหายที่ 1 มาแจ้งความจึงสอบปากคำผู้เสียหายที่ 1 ร่วมกับนักจิตวิทยา พนักงานอัยการและบุคคลที่เด็กไว้วางใจและร้องขอ โดยบันทึกวีดิทัศน์การสอบปากคำไว้ ผู้เสียหายที่ 1 พูดจารู้เรื่องสื่อสารตอบคำถามได้ตามปกติ ประกอบกับผู้เสียหายที่ 1 เบิกความถึงพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยเป็นขั้นตอนมีรายละเอียดและตอบถามค้านทนายจำเลยไม่ขัดแย้งหรือมีพิรุธน่าสงสัย อีกทั้งพฤติกรรมการกระทำของจำเลยในสามครั้งแรกที่บ้านของภริยาจำเลยและสองครั้งหลังที่โรงแรม ม. มีลักษณะของการกระทำและสถานที่เกิดเหตุคล้ายคลึงกันและซ้ำกันจึงไม่เป็นเรื่องผิดปกติที่เด็กที่มีสมองเท่าเด็กอายุ 11 ปีเศษ จะสามารถจดจำเรื่องราวได้ ผู้เสียหายที่ 1 เคยไปที่บ้านของภริยาจำเลยจึงน่าจะจดจำได้ ทั้งยังเบิกความและชี้ภาพของโรงแรม ม. ได้อย่างถูกต้องว่าเป็นอาคารสองชั้นสีส้ม หน้าห้องพักมีที่จอดรถและมีผ้าม่านสำหรับรูดมาปิดบริเวณที่จอดรถตรงกับภาพถ่าย ผู้เสียหายที่ 1 ที่มีอายุสมองเพียง 11 ปีเศษ หากไม่ได้ไปสถานที่ดังกล่าวจริงก็ไม่น่าจะเบิกความถึงลักษณะของโรงแรมได้ถูกต้อง และผู้เสียหายที่ 1 ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยจึงไม่น่าจะเบิกความปรักปรำให้ร้ายจำเลยเพื่อให้รับโทษทางอาญา ผู้เสียหายที่ 2 และนาง ศ. เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุผลที่จะเบิกความให้ร้ายจำเลย และเรื่องที่เบิกความเป็นเรื่องที่สร้างความเสื่อมเสียแก่ผู้เสียหายที่ 1 บุตรสาวของตน หากไม่เป็นความจริงก็ไม่น่าจะกล้าเบิกความให้เสื่อมเสียแก่บุตรของตน เมื่อพิจารณาข้อเท็จจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ประกอบพยานอื่น คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 จึงมีน้ำหนักให้เชื่อถือได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าได้เบิกความไปตามความจริงที่รู้เห็นมา ส่วนที่จำเลยอ้างว่าขณะเกิดเหตุจำเลยย้ายครอบครัวไปอยู่ที่จังหวัดลพบุรีแล้ว จำเลยก็มีเพียงนาง ธ. บุตรสาวของจำเลยมาเบิกความ นาง ธ. เป็นบุตรของจำเลยย่อมจะเบิกความช่วยเหลือจำเลย อีกทั้งหากจำเลยไม่ได้อยู่ที่จังหวัดพิษณุโลกในขณะที่เกิดเหตุคดีนี้ก็น่าจะให้การในชั้นสอบสวนอ้างฐานที่อยู่เพื่อให้พนักงานสอบสวนพิจารณาว่าจำเลยกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของผู้ถูกกล่าวหาต้องพยายามแสดงหลักฐานว่าตนไม่ผิด แต่จำเลยกลับไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องฐานที่อยู่ตั้งแต่ชั้นสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนเบิกความว่า สอบปากคำจำเลยในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธลอย ๆ โดยไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธทั้งไม่ได้ขอให้สอบปากคำพยานบุคคลอื่นหรือมีหลักฐานอื่นใดมาแสดงในชั้นสอบสวน พยานหลักฐานของจำเลยมีความขัดแย้งกันปราศจากเหตุผลมีข้อพิรุธน่าสงสัย จึงไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างพยานโจทก์ได้ เมื่อผู้เสียหายที่ 1 มีอายุ 15 ปีเศษ ถึง 16 ปี จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปกระทำชำเราที่บ้านของภริยาจำเลย 3 ครั้ง และที่โรงแรม ม. 2 ครั้ง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายที่ 2 แม้ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 2 เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 2 เป็นบิดาที่แท้จริงของผู้เสียหายที่ 1 และขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อาศัยและอยู่ในความดูแลของผู้เสียหายที่ 2 แม้จะให้อิสระผู้เสียหายที่ 1 ไปเที่ยวที่ไหนกลับเมื่อใดไม่เคยสนใจสอบถามหรือห้ามปราม ก็ยังถือว่าผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในความดูแลและอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ส่วนนาง ศ. เป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เสียหายที่ 1 จึงมีอำนาจปกครองตามกฎหมาย การที่จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปกระทำชำเราจึงเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 บิดาและนาง ศ. มารดา ในฐานะผู้ดูแลและผู้มีอำนาจปกครอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์มีอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้เสียหายที่ 2 ผู้ดูแลเพื่อการอนาจารรวม 5 ครั้ง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียวนั้น ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปกระทำชำเราถึง 5 ครั้ง ต่างวันต่างเวลากัน แม้จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 รายเดียวกัน ลักษณะการกระทำความผิดอย่างเดียวกัน สถานที่เกิดเหตุเดียวกัน และมีเจตนาประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกันก็ตาม แต่จำเลยกระทำความผิดแต่ละครั้งต่างวันต่างเวลากันมิได้กระทำต่อเนื่องกัน จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 แต่ละครั้งบรรลุผลสมดังเจตนาแล้ว ย่อมเป็นการล่วงอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 บิดาและนาง ศ. มารดา การกระทำของจำเลยแต่ละครั้งจึงแยกต่างหากจากกันเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฎีกาของจำเลยในข้ออื่นไม่เป็นสาระแก่คดีไม่มีผลให้คดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยและมีคำพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share