คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4495/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประกอบการค้าก๊าซและน้ำมันปิโตรเลียมแข่งขันกับโจทก์โดยใช้ชื่อบริษัท ย. สั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขาย ทำให้โจทก์เสียหายจำเลยให้การว่าไม่เคยใช้ชื่อบริษัท ย. สั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายโจทก์ไม่เสียหาย ไม่มีการชี้สองสถาน ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าจำเลยสั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายหรือไม่ เมื่อโจทก์นำสืบว่าบริษัท ย. สั่งซื้อน้ำมันเตา น้ำมันขี้โล้ และน้ำมันก๊าดซึ่งไม่ใช่ก๊าซตามฟ้องจากผู้ขายในประเทศเองแล้วนำไปขาย จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นในเรื่องประเภทของเชื่อเพลิงและในเรื่องสถานที่ซื้อ ศาลไม่อาจพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ตามที่โจทก์นำสืบได้เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นกรรมการของบริษัทโจทก์ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการค้าก๊าซและน้ำมันปิโตรเลียม ต่อมาจำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนตั้งบริษัทยูเนียนอินเตอร์บังเกอร์ จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกันทำการค้าสภาพเช่นเดียวกันและแข่งขันกันกับโจทก์โดยมีจำเลยทั้งสองเป็นกรรมการ บริหาร และจำเลยทั้งสองใช้ชื่อบริษัทดังกล่าวสั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายหลายพันตัน ขายได้กำไรอย่างน้อย ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งควรตกเป็นของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยจดทะเบียนเลิกบริษัทยูเนียนอินเตอร์บังเกอร์ จำกัด และเลิกการค้าขายที่มีสภาพเช่นเดียวกับโจทก์และเป็นการแข่งขันกับการค้าของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองลาออกจากการเป็นกรรมการของบริษัทโจทก์ตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยทั้งสองไม่เคยใช้ชื่อบริษัทยูเนียนอินเตอร์บังเกอร์ จำกัด สั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายโจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงไม่ติดใจขอบังคับตามคำขอท้ายฟ้องที่ให้จำเลยจดทะเบียนเลิกบริษัทยูเนียนอินเตอร์บังเกอร์ จำกัด และเลิกการค้าขายที่มีสภาพเช่นเดียวกับโจทก์และเป็นการแข่งขันกับการค้าของโจทก์ เนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องบริษัทนี้เป็นจำเลยด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกับชำระเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองประกอบการค้าก๊าซและน้ำมันปิโตรเลียมแข่งขันกับโจทก์ โดยใช้ชื่อบริษัทยูเนียนอินเตอร์บังเกอร์ จำกัด สั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายได้กำไรอย่างน้อย ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เงินกำไรจำนวนนี้ควรเป็นของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย เช่นนี้ตามคำฟ้องของโจทก์จะเห็นได้ว่าโจทก์แบ่งแยกก๊าซและน้ำมันปิโตรเลียมเป็นเชื้อเพลิงต่างประเภทกัน โดยโจทก์มุ่งหมายให้จำเลยทั้งสองรับผิดในการสั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายเท่านั้นหาได้ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองรับผิดในการสั่งน้ำมันปิโตรเลียมมาจำหน่ายไม่ จำเลยทั้งสองก็ให้การว่าไม่เคยใช้ชื่อบริษัทยูเนียนอินเตอร์บังเกอร์ จำกัด สั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขาย โจทก์ไม่เสียหายเช่นนี้เมื่อคดีไม่มีการชี้สองสถานประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าจำเลยทั้งสองสั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายหรือไม่ เมื่อโจทก์นำสืบว่าบริษัทยูเนียนอินเตอร์บังเกอร์ จำกัด สั่งซื้อน้ำมันเตา น้ำมันขี้โล้และน้ำมันก๊าดจากบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด แล้วนำไปขาย จึงเป็นการนำสืบที่นอกฟ้องนอกประเด็นในสาระสำคัญถึง ๒ ประการ ประการแรกเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นในเรื่องประเภทของเชื้อเพลิง กล่าวคือน้ำมันเตา น้ำมันขี้โล้และน้ำมันก๊าด หาใช่ก๊าซตามฟ้องไม่ ทั้งคำว่า “ก๊าซ” ก็ไม่อาจตีความให้รวมถึงน้ำมันเตา น้ำมันขี้โล้และน้ำมันก๊าดได้ ประการที่สองเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นในเรื่องสถานที่ซื้อ กล่าวคือฟ้องโจทก์กล่าวว่าสั่งซื้อจากต่างประเทศ แต่โจทก์นำสืบว่าสั่งซื้อจากบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด ซึ่งหมายถึงสั่งซื้อในประเทศไทย ศาลไม่อาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ตามที่โจทก์นำสืบดังกล่าวได้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๒ วรรคแรก จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน

Share