คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยแต่งงานกับ ฉ. แล้วจำเลยขึ้นทะเบียนอยู่บ้านพิพาทกับ ฉ.โดยลงว่าจำเลยเป็นหัวหน้าครอบครัวฉ. เป็นภริยา. จำเลยเช่าที่ดินซึ่งบ้านพิพาทปลูกอยู่จากบิดาโจทก์ได้เสียค่าเช่าตลอดมา. เมื่อจำเลยกับ ฉ. จดทะเบียนหย่ากันแล้ว จำเลยก็ยังไปมาหาสู่ ฉ..ดังนี้ถือว่าฉ.เป็นบริวารจำเลย. เมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยให้รื้อเรือนออกไปจากที่ดินโจทก์แล้ว ฉ. ไม่มีสิทธิจะอยู่ได้ต่อไป.

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์ ฯลฯ ศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยร้องว่าได้ออกจากที่โจทก์แล้ว โจทก์แถลงว่าจำเลยและบริวารยังไม่ออกและยังไม่รื้อบ้าน ศาลหมายเรียกจำเลยและนางเฉิดฉลองภริยาจำเลยมาสอบถาม จำเลยแถลงว่าออกไปจากที่ดินโจทก์แล้ว ส่วนบ้านเป็นของนางเฉิดฉลองซึ่งหย่าร้างกับจำเลยแล้วนางเฉิดฉลองปลูกมาก่อนแต่งงานกับจำเลย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่านางเฉิดฉลองเป็นบริวารของจำเลย จึงมีคำสั่งบังคับให้นางเฉิดฉลองออกไปจากที่ดินโจทก์ และให้รื้อบ้านที่ปลูกในที่ดินโจทก์ออกไปแล้วส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ นางเฉิดฉลองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน นางเฉิดฉลองฎีกา คดีได้ความว่า นายนิกรได้แต่งงานกับนางเฉิดฉลอง ขึ้นทะเบียนอยู่บ้านพิพาทกับนางเฉิดฉลองลงว่าจำเลยเป็นหัวหน้าครอบครัวนางเฉิดฉลองเป็นภริยา นายนิกรเช่าที่ดินซึ่งบ้านพิพาทปลูกอยู่จากนายเถาว์บิดาโจทก์ตั้งแต่ พ.ศ. 2498 ได้เสียค่าเช่าตลอดมา และเมื่อนายนิกรจำเลยกับนางเฉิดฉลองได้จดทะเบียนการหย่ากันแล้วก็ตามนายนิกรจำเลยก็ยังคงไปมาหาสู่นางเฉิดฉลอง เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่านางเฉิดฉลองเป็นบริวารของจำเลย ฉะนั้น เมื่อศาลได้พิพากษาขับไล่นายนิกรจำเลยให้รื้อเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้ว นางเฉิดฉลองจึงไม่มีสิทธิที่จะอยู่ได้ต่อไป พิพากษายืน.

Share