คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาถือว่าจำเลยผิดสัญญาโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้แต่ที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้ภายหลังที่จำเลยผิดสัญญาแล้วจะถือว่าโจทก์ไม่ถือเอาเงื่อนเวลาในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญหรือสละเงื่อนเวลานั้นจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าเป็นอย่างที่จำเลยอ้างทั้งเมื่อพิจารณาข้อตกลงในสัญญาเงินกู้ข้อ17ที่กำหนดว่าการไม่ดำเนินการหรือความล่าช้าในการดำเนินการใช้สิทธิของผู้ให้กู้คือโจทก์มิได้แสดงว่าโจทก์สละสิทธิตามที่ระบุไว้ในสัญญาจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ถือเงื่อนเวลาในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญและสละเงื่อนเวลาอันจะถือว่าจำเลยไม่ผิดสัญญาเมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินกู้คืนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน 15,000,000 บาทโดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่โจทก์คิดกับลูกค้าชั้นดี กำหนดชำระดอกเบี้ยเดือนละครั้งและผ่อนชำระต้นเงินคืนเป็นงวดงวดละเดือน รวม 48 งวด หากจำเลยผิดนัด ยอมให้โจทก์เรียกคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยได้ทันที และโจทก์ได้ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยไว้ต่อบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไฟแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัดในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 ดอลลาร์ฮ่องกง จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์หลายครั้งแต่ไม่ตรงตามเวลาที่ตกลงไว้ในสัญญาซึ่งโจทก์ถือว่าจำเลยผิดนัดแล้ว โดยจำเลยได้ชำระให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2534 และบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไฟแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์จำกัด ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยผิดสัญญาและให้โจทก์รับผิดชำระหนี้แทนจำเลยตามภาระ โจทก์จึงชำระหนี้ให้แก่บริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไฟแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัด ไปเป็นเงิน 10,000,000 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งคิดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยในขณะนั้นเป็นเงิน 1 ดอลลาร์ฮ่องกง ต่อ 3.44 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 34,400,000 บาท คิดถึงวันฟ้องจำเลยคงค้างชำระหนี้เงินกู้ในต้นเงิน 14,472,453.62 บาท ดอกเบี้ย2,352,845.25 บาท และหนี้ตามหนังสือค้ำประกันต้นเงิน34,400,000 บาท ดอกเบี้ย 1,032,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ พร้อมด้วยดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และชำระเงินตามหนังสือค้ำประกัน พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญากู้เงินจำเลยได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยมาตลอด แม้การชำระจะไม่ตรงตามเวลาที่ระบุไว้ในสัญญากู้เงิน แต่โจทก์ยอมรับการชำระหนี้ของจำเลยโดยมิได้คัดค้านหรือโต้แย้งว่าจำเลยชำระหนี้ผิดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยได้สละเงื่อนเวลาในการชำระหนี้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 52,257,298.87 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน48,872,453.62 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2533 จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์15,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.1 และในวันที่ 2 มกราคม 2533จำเลยขอให้โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยต่อบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไฟแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.7 โจทก์จึงได้ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยไว้ต่อบริษัทดังกล่าวตามที่จำเลยขอ ตามเอกสารหมาย จ.8
ฎีกาเป็นเด็นข้อพิพาทมีว่า โจทก์ไม่ถือเอาเงื่อนเวลาในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญและสละเงื่อนเวลาอันจะถือได้ว่าจำเลยมิได้ผิดสัญญาหรือไม่ ปรากฎว่าสัญญากู้ได้กระทำกันเมื่อวันที่ 23 มกราคม2533 กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ 48 งวดงวดละเดือน จำเลยไม่ได้ผ่อนชำระตามกำหนดในสัญญา ซึ่งถือว่าจำเลยผิดนัดแต่หลังจากนั้นเมื่อจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์บ้างบางส่วน โจทก์ได้รับชำระหนี้ทุกครั้งที่จำเลยชำระต่อมาวันที่ 30 มีนาคม 2535โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและกำหนดให้จำเลยชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน แต่จำเลยไม่ชำระ เห็นว่า การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามที่คู่สัญญาได้กำหนดไว้แต่ที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้ภายหลังที่จำเลยผิดสัญญาแล้วจะถือว่าโจทก์ไม่ถือเอาเงื่อนเวลาในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญหรือสละเงื่อนเวลานั้น จำเลยไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าเป็นอย่างที่จำเลยอ้าง ทั้งเมื่อพิจารณาตามข้อตกลงในสัญญาเงินกู้เอกสารหมาย จ.1 ข้อ 17 กำหนดว่า การไม่ดำเนินการหรือความล่าช้าในการดำเนินการใช้สิทธิของผู้ให้กู้คือโจทก์มิได้แสดงว่าโจทก์สละสิทธิตามที่ระบุไว้ในสัญญา จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ถือเงื่อนเวลาในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญและสละเงื่อนเวลาอันจะถือว่าจำเลยไม่ผิดสัญญา เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินกู้คืนได้”
พิพากษายืน

Share