คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ได้แยกการกระทำผิดไว้หลายอย่างหลายชนิด แต่ละชนิดเป็นความผิดอยู่ในตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกัน
ความผิดฐานนำของต้องจำกัดที่จะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เข้ามาในราชอาณาจักร ไม่จำต้องมีองค์ประกอบในเรื่องมีเจตนาจะฉ้อภาษีรัฐบาล
จำเลยใช้เอกสารปลอมสั่งอาวุธปืนซึ่งเป็นของต้องจำกัดที่จะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เข้ามาในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติศุลกากร จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้จำเลยจะมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา และมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แล้วก็ตาม จำเลยก็ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 27 อีก
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2513)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย ร่วมกันส่งและร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ซึ่งเครื่องกระสุนปืนและอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายหลายครั้ง ของดังกล่าวเป็นของต้องห้ามมิให้นำเข้ามา เป็นการหลีกเลี่ยงข้อห้ามข้อจำกัด รวมราคาและค่าอากรเป็นเงิน ๔๖,๓๖๘ บาท ๒๗ สตางค์ และจำเลยร่วมกับบุคคลอื่นทำใบอนุญาตให้สั่งหรือนำเข้ามาซึ่งอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนแบบ ป.๒ ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมขึ้น เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นใบอนุญาตที่แท้จริง ทั้งนี้น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายทะเบียนท้องที่อำเภอเมืองนครปฐม และทางราชการจังหวัดนครปฐม และจำเลยได้ร่วมกันนำใบอนุญาตดังกล่าวไปใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรว่าเป็นใบอนุญาตอันแท้จริงเพื่อขออนุญาตขนเครื่องกระสุนปืนขึ้นบกก่อนที่จะส่งและนำเข้า เจ้าหน้าที่เก็บท่อนหนึ่งไว้ แล้วจำเลยร่วมกันนำใบอนุญาตปลอมอีกท่อนหนึ่งไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรพร้อมกับใบขนสินค้าขาเข้าเจ้าหน้าที่ศุลกากรหลงเชื่อว่าเป็นใบอนุญาตอันแท้จริง จึงอนุญาตให้ขนขึ้นบก และได้ตรวจมอบเครื่องกระสุนปืนให้จำเลย การกระทำของจำเลยน่าจะเกิดความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่ศุลกากร จำเลยที่ ๓ เป็นจำเลยคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาดำที่ ๙๘๕/๒๕๐๗ ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๒๔, ๗๒, ๗๓แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๑ มาตรา ๖ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๘๓ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙มาตรา ๒๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. ๒๔๘๙ มาตรา ๕, ๖, ๗, ๘กับขอให้จ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมตามกฎหมาย และให้นับโทษต่อจำเลยที่ ๓ จากคดีอาญาที่อ้างถึง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ใบอนุญาตแบบ ป.๒ เอกสาร จ.๑ ถึง จ.๔แบบ ป.๓ เอกสาร จ.๑๗ เป็นเอกสารปลอม แต่โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบว่าจำเลยเป็นผู้ทำปลอมขึ้น ทั้งไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ทำปลอม ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้เอกสารปลอมดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้ว ทั้งจำเลยที่ ๑ที่ ๒ มีความผิดฐานสั่งอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน สำหรับการค้าโดยมิได้รับอนุญาตอีกด้วย ฟังว่า จำเลยที่ ๓ กระทำไปโดยสุจริต ไม่ทราบว่าเป็นเอกสารปลอม จึงไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ฐานสั่งอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนเข้ามา จำเลยที่ ๑ ชำระอากรศุลกากรครบถ้วน จำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕, ๒๖๘, ๘๓พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๒๔, ๗๓ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๑ มาตรา ๖ แต่ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๑ มาตรา ๖ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ให้ปรับจำเลยที่ ๑ผู้เป็นนิติบุคคล ๕,๐๐๐ บาท ให้จำคุกจำเลยที่ ๒ หนึ่งปี จำเลยที่ ๒ ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้ภายใน ๓ ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ โดยยึดทรัพย์สินใช้แทนเงินค่าปรับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ปรากฏว่าส่งหมายนัดกับฎีกาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ได้ เพราะหาตัวไม่พบ
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามบทมาตราที่อ้างถึงได้แยกการกระทำผิดไว้หลายอย่างหลายชนิด แต่ละชนิดเป็นความผิดอยู่ในตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกัน เช่น ผู้ใดนำหรือหาของต้องจำกัด หรือต้องห้าม เข้ามาในราชอาณาจักร ก็เป็นความผิดชนิดหนึ่งในตัวเองหรือผู้ใดเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ ในการหลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดอันเกี่ยวแก่ของนั้น ก็เป็นความผิดเช่นเดียวกัน คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยนำอาวุธปืน กระสุนปืนเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และอาวุธปืน กระสุนปืนนั้นเป็นของต้องจำกัดตามความหมายของบทกฎหมายที่อ้างถึงแล้วปรากฏว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานนำ หรือพาของต้องจำกัดเข้ามาในราชอาณาจักร โดยใช้ใบอนุญาตปลอมเข้ามานั้นก็เป็นการหลีกเลี่ยงข้อห้ามข้อจำกัดอันเกี่ยวกับของนั้นด้วย แม้จำเลยจะได้ชำระภาษีศุลกากรแล้ว จำเลยก็ยังหาพ้นความผิดไปไม่ เพราะครบองค์ประกอบเกี่ยวกับความผิดฐานนำของต้องจำกัดที่จะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่จำต้องมีเจตนาจะฉ้อภาษีรัฐบาลด้วย ส่วนการที่จำเลยเสียภาษีศุลกากรไปนั้น ก็เนื่องจากเจ้าพนักงานศุลกากรสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าอาวุธปืน กระสุนปืน อันเป็นของต้องจำกัด ได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้นำเข้าแล้ว จำเลยที่ ๑ ที่ ๒จึงมีความผิดตามข้อกฎหมายดังที่โจทก์ฎีกา ซึ่งเป็นกรณีความผิดหลายกรรมต่างกันอีกกระทงหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ อีกกระทงหนึ่ง ให้ปรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒เฉพาะกระทงนี้เป็นเงิน ๑๘๕,๔๗๓ บาท ๐๘ สตางค์ หากไม่ชำระเงินค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ผู้เป็นนิติบุคคล จะกักขังแทนเงินค่าปรับไม่ได้ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙ แต่ประการเดียว กับให้จ่ายเงินรางวัลร้อยละ ๒๐ ของค่าปรับ แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับกุม ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. ๒๔๘๙ มาตรา ๕, ๖, ๗, ๘นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

Share