แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์โจทก์ขอรังวัดตรวจสอบแนวเขต จำเลยทั้งสองคัดค้านขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองคัดค้านการรังวัดสอบเขตจำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งในตอนแรกว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โดยซื้อมาจาก น. แต่จำเลยทั้งสองกลับให้การและฟ้องแย้งในตอนหลังว่า กรณีจะเป็นประการใดก็ตามหากฟังได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1ก็ได้ครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนานกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ จึงขัดแย้งกับคำให้การและฟ้องแย้งตอนแรก ซึ่งอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 เพราะซื้อมา จึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้อื่นในที่ดินโฉนดเลขที่ 5847 เนื้อที่ 72 ไร่ 3 งาน 56 ตารางวา มีอาณาเขตทิศเหนือติดกับที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามโฉนดเลขที่ 5833 วันที่ 24ตุลาคม 2537 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองคัดค้าน ต่อมาวันที่ 13กรกฎาคม 2538 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดอีกแต่จำเลยทั้งสองอ้างว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ 78 ตารางวาเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลยที่ 1 ตามโฉนดที่ดินดังกล่าวทำให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายทำการรังวัดถึงสองครั้งเป็นเงิน 10,000 บาท และขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินพิพาทซึ่งอาจให้บุคคลอื่นเช่าได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 2,000 บาท ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปและค่าเสียหายต่อไปอีกปีละ 2,000บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินคืนโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลยที่ 1 ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 5833 โดยจำเลยที่ 1ซื้อมาจากนางนัฎฐา วัตตะเสรี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2527 จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา หากฟังว่าที่ดินพิพาทอยู่ในโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนานกว่า10 ปีแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์ ให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 5847ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี แก่จำเลยที่ 1เพื่อนำไปใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในโฉนดที่ดิน กับห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทติดต่อกันจนถึงปัจจุบันโดยสงบ เปิดเผย หรือมีเจตนาเป็นเจ้าของและมิได้ครอบครองเกินกว่า 10 ปี ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 5847 ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้าจังหวัดสุพรรณบุรีของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนการคัดค้านการรังวัดที่ดินดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป คำขออื่นให้ยก สำหรับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า คำให้การและฟ้องแย้งมีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ โจทก์ขอรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดิน จำเลยทั้งสองคัดค้าน ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองคัดค้านการรังวัดสอบเขตและห้ามเกี่ยวข้องกับเรียกค่าเสียหายจำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งในตอนแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยซื้อมาจากนางนัฏฐา วัตตะเสรี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2527 จากนั้นได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา เท่ากับจำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของเดิม แต่จำเลยทั้งสองกลับให้การและฟ้องแย้งในตอนหลังว่า กรณีจะเป็นประการใดก็ตามหากฟังได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1ก็ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนานกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงขัดแย้งกับคำให้การและฟ้องแย้งตอนแรก ซึ่งอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 เพราะซื้อมารูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่รับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน