แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ขณะที่จำเลยกระชากกระเป๋าถือของผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย แต่หลังจากจำเลยกระชากกระเป๋าถือของผู้เสียหายแล้วจำเลยได้วิ่งหนีไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่ห่างจากที่ผู้เสียหายถูกกระชาก สร้อยเพียง 1 ถึง 2 เมตร เพื่อหลบหนี แต่ถูก ส.วิ่งไปผลักจนรถจักรยานยนต์ล้มลง จำเลยจึงชักอาวุธมีดออกมาจะแทงส. การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังต่อเนื่องและเกี่ยวพันกันโดยตลอดและยังไม่ขาดตอนจากการวิ่งราวทรัพย์ ทั้งการที่จำเลยชักอาวุธมีดออกมาจะแทง ส.ทันทีที่ส. ผลักรถจักรยานยนต์ล้มลงนั้น เป็นพฤติการณ์ที่ชี้ชัดว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาขู่เข็ญไม่ให้ ส. ขัดขวางการหลบหนี เพื่อให้พ้นจากการจับกุมและเพื่อการพาทรัพย์ไป และแม้ ส. จะมิใช่ผู้เสียหายแต่เมื่อจำเลยกระทำโดยมีเจตนาดังกล่าวและการกระทำของจำเลยยังไม่ขาดตอนจากการกระชากกระเป๋าถือของผู้เสียหายถือได้ว่าจำเลยกระชากกระเป๋าถือผู้เสียหายโดยขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมแล้ว จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 340 ตรี, 371, 33, 83, 91 และริบมีดของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 339 วรรคสอง, 340 ตรี, 371 เรียงกระทงลงโทษฐานชิงทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะจำคุกคนละ 18 ปี ฐานพาอาวุธมีดปรับคนละ 100 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 9 ปี ปรับคนละ 50 บาทไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ริบมีดของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกา จำเลยที่ 1 ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2540 เวลาประมาณ7 นาฬิกา จำเลยที่ 1 กระชากกระเป๋าถือของผู้เสียหายแล้ววิ่งหนีไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับในลักษณะชะลอรับจำเลยที่ 1 และห่างจากผู้เสียหายประมาณ 1 ถึง 2 เมตร เมื่อผู้เสียหายร้องตะโกนขอความช่วยเหลือนายสิงห์ พงษ์รัตน์ซึ่งเดินสวนทางมาเห็นเหตุการณ์จึงเข้าขัดขวางมิให้จำเลยที่ 1หลบหนี โดยผลักรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับจนล้มลง และจำเลยทั้งสองล้มลงด้วย จำเลยที่ 1 ชักอาวุธมีดยาวประมาณ10 นิ้ว ออกมาจะแทงนายสิงห์ นายสิงห์จึงใช้ไม้ตีจำเลยที่ 1เห็นว่า แม้ขณะที่จำเลยที่ 1 กระชากกระเป๋าถือของผู้เสียหายจำเลยที่ 1 ไม่ได้ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย แต่หลังจากจำเลยที่ 1กระชากกระเป๋าถือของผู้เสียหายแล้วได้วิ่งหนีไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งอยู่ห่างจากที่ผู้เสียหายถูกกระชากสร้อยเพียง1 ถึง 2 เมตร เพื่อหลบหนี จึงถูกนายสิงห์วิ่งไปผลักจนรถจักรยานยนต์ล้มลง จำเลยที่ 1 จึงชักอาวุธออกมาจะแทงนายสิงห์ การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวทั้งสองกรณียังต่อเนื่องและเกี่ยวพันกันโดยตลอด และยังไม่ขาดตอนจากการวิ่งราวทรัพย์ ทั้งการที่จำเลยที่ 1 ชักอาวุธมีดออกมาจะแทงนายสิงห์ทันทีที่นายสิงห์ผลักรถจักรยานยนต์ล้มลงนั้น เป็นพฤติการณ์ที่ชี้ชัดว่า จำเลยกระทำโดยมีเจตนาขู่เข็ญไม่ให้นายสิงห์ขัดขวางการหลบหนีเพื่อให้พ้นจากการจับกุมและเพื่อการพาทรัพย์ไป และแม้นายสิงห์จะมิใช่ผู้เสียหายแต่เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำโดยมีเจตนาดังกล่าว และการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ขาดตอนจากการกระชากกระเป๋าถือของผู้เสียหายถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระชากกระเป๋าถือผู้เสียหายโดยขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมแล้ว จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
พิพากษายืน