แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บ้านพิพาทเป็นบ้านที่ผู้ร้องกับนาง ห. ร่วมกันปลูกเป็นเรือนหอบนที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยได้รับอนุญาตจาก จำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146(มาตรา 109 เดิม)จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำบ้านพิพาทไปจดจำนองไว้กับโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์รวมในบ้านพิพาท จึงสามารถใช้สิทธิอันเกิดจากกรรมสิทธิ์ครอบไปถึงบ้านพิพาททั้งหมดเพื่อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้ปล่อยบ้านพิพาทที่โจทก์นำยึดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359แม้เจ้าของรวมคนอื่นจะมิได้ร่วมดำเนินการดังกล่าวก็ตาม
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 39,601 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนายเส็ง เสียมทองหรือเตี๋ยมทอง ที่ตกทอดได้แก่จำเลยดังกล่าวและให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวเป็นเงิน 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระหนี้ให้บังคับทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากชำระหนี้ได้ไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนายเส็งที่ตกทอดให้แก่จำเลยดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้รับผิดตามสัญญาจำนอง แต่ทั้งนี้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองที่ดินเป็นเงินไม่เกิน 770,136.71 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากชำระหนี้ได้ไม่ครบให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำนองเฉพาะสิ่งปลูกสร้างคือ บ้านเลขที่ 14/2 หมู่ 4ตำบลบางขันแตก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงครามเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ขณะยึดเป็นเงิน 400,000บาท เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า บ้านเลขที่ 14/2 หมู่ที่ 4ตำบลบางขันแตก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงครามที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องมิใช่ของจำเลยที่ 1 ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า บ้านที่ยึดเป็นส่วนควบของที่ดินซึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องไม่ได้คัดค้านและไม่ได้แสดงหลักฐานใดว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ร้อง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดบ้านเลขที่ 14/2หมู่ที่ 4 ตำบลบางขันแตก อำเภอเมืองสมุทรสงครามจังหวัดสมุทรสงคราม แก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาข้อแรกว่าบ้านพิพาทเป็นส่วนควบกับที่ดินโฉนดเลขที่ 6003 ตำบลบางขันแตกอำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม จึงเป็นของจำเลยที่ 1ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขัดทรัพย์ข้อนี้ผู้ร้องเบิกความเป็นพยานว่า ก่อนจดทะเบียนสมรสได้ปลูกบ้านพิพาทร่วมกับนางหงษ์ โดยผู้ร้องออกเงินจำนวน 20,000 บาท นางหงษ์ออกเงินจำนวน 50,000 บาท ในการจดทะเบียนสมรสปลัดอำเภอชื่อสำราญเป็นคนไปจดทะเบียนให้ที่บ้านมีการบันทึกไว้ด้านหลังทะเบียนสมรสเอกสารหมาย ร.1 ผู้ร้องปลูกบ้านพิพาทเพื่อเป็นเรือนหอ ได้ขอเลขที่บ้านปรากฏตามเอกสารหมาย ร.2 นางหงษ์ เสียมทองภริยาผู้ร้องเบิกความเป็นพยานผู้ร้องว่า ในการปลูกเรือนหอพยานเป็นผู้ออกไม้ ส่วนผู้ร้องเป็นผู้ออกค่าแรง ผู้ร้องเป็นผู้ขอเลขที่บ้าน นายแสวง สำลี ซึ่งเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ตำบลบางขันแตก และนายเสวก สุดสนิท กำนันตำบลบางขันแตกเบิกความเป็นพยานผู้ร้องทำนองเดียวกันว่าหลังจากหมั้นกันแล้วนางหงษ์ได้นำไม้มาปลูกเป็นเรือนหอในที่ดินของจำเลยที่ 1 และนายแสวงยังเบิกความยืนยันว่าผู้ร้องออกค่าวัสดุก่อสร้าง นางกนกพร สุกรสมิตร ปลัดอำเภอเมืองสมุทรสงครามเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าเอกสารหมาย ร.1 เป็นทะเบียนสมรสระหว่างผู้ร้องกับนางสาวหงษ์ แซ่ลี้ ด้านหลังเอกสารมีการบันทึกทรัพย์สินระบุว่าผู้ร้องได้ออกเงินสมทบในการปลูกสร้างบ้าน20,000 บาท และเบิกความตอบทนายผู้ร้องถามค้านว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างผู้ร้องกับนางสาวหงษ์เป็นการจดทะเบียนสมรสนอกที่ว่าการอำเภอ เห็นว่าคำเบิกความของผู้ร้องสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานผู้ร้องปากอื่นและสอดคล้องกับบันทึกด้านหลังทะเบียนสมรสเอกสารหมาย ร.1 พยานผู้ร้องจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บ้านพิพาทเป็นบ้านที่ผู้ร้องร่วมกับนางหงษ์ภริยาปลูกเป็นเรือนหอบนที่ดินของจำเลยที่ 1โดยได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 บ้านพิพาทจึงไม่กลายเป็นส่วนควบเพราะผู้ร้องได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ให้ปลูกทำลงบนที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและตรงกับมาตรา 146 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนี้ ฉะนั้นบ้านพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลยที่ 1ไม่มีสิทธินำไปจำนองโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นโจทก์ฎีกาต่อไปว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเกินคำขอ เพราะนางหงษ์เจ้าของรวมอีกคนหนึ่งไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยบ้านพิพาทด้วย เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในบ้านพิพาท จึงอาจใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1359 ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน