คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 447/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลูกเพิงบนถนนพิพาท และจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำสิ่งของต่าง ๆ จำพวกยางรถยนต์และเศษไม้มาวางบนถนนพิพาทซึ่งเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการขัดขวางมิให้โจทก์และบริวารของโจทก์ได้รับความสะดวกในการใช้ถนนพิพาท ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือขาดความสะดวกแก่โจทก์แล้วโจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ แม้โจทก์หรือบริวารของโจทก์สร้างราวตากผ้าในถนนพิพาทด้วย ก็หาทำให้การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็เพราะจำเลยทั้งสองทำให้ประโยชน์แห่งถนนพิพาทซึ่งเป็นทางภาระจำยอมลดไปหรือขาดความสะดวกแก่โจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต
แม้จำเลยทั้งสองปลูกสร้างเพิงและวางสิ่งของจำพวกยางรถยนต์และเศษไม้จำนวนมากบนถนนพิพาทตั้งแต่ปี 2533 คิดถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2540 อันเป็นวันฟ้องเกิน 1 ปีแล้ว แต่เมื่อเพิงและสิ่งของต่าง ๆ ที่จำเลยทั้งสองกระทำขึ้นยังมีอยู่บนถนนพิพาทตลอดมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ สิทธิในการฟ้องขอให้รื้อถอนเพิงและขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ออกไปจากถนนพิพาทซึ่งเป็นทางภาระจำยอมจึงยังคงมีอยู่ตลอดไป คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนเพิงและเก็บสิ่งของต่าง ๆ ออกจากถนนพิพาทที่ผ่านหน้าที่ดินของโจทก์ทั้ง 5 แปลง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์มีอำนาจเข้าดำเนินการแทนโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารขัดขวางโจทก์และบริวารใช้ถนนพิพาทที่ผ่านหน้าที่ดินของโจทก์ทั้ง 5 แปลง ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารกระทำการใด ๆ เป็นเหตุให้โจทก์และบริวารเสื่อมความสะดวกหรือลดประโยชน์ในภาระจำยอมบนถนนพิพาทที่ผ่านที่ดินของโจทก์ทั้ง 5 แปลง และถนนบริเวณใกล้เคียง กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนเพิง เก็บสิ่งของต่าง ๆ และปรับถนนพิพาทให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนเพิงที่ปลูกสร้างบนถนนพิพาทและปรับถนนพิพาทให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดี หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์มีอำนาจดำเนินการแทน โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนเพิงและเก็บสิ่งของต่าง ๆ ออกไปจากถนนพิพาทที่ผ่านหน้าที่ดินโฉนดเลขที่ 24100 ถึง 24104 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี (บางพลีใหญ่) จังหวัดสมุทรปราการ รวม 5 แปลง ของโจทก์ และปรับถนนพิพาทให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนเพิงและเก็บสิ่งของต่าง ๆ กับปรับถนนพิพาทที่ผ่านหน้าที่ดินของโจทก์ทั้ง 5 แปลง ข้างต้นให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยคู่ความไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านฟังได้ว่า ถนนพิพาทเป็นทางภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้ง 5 โฉนดตามฟ้อง และเจ้าของที่ดินคนอื่น ๆ รวมทั้งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในโครงการจัดสรรที่ดินของบริษัทสินลาโภ จำกัด เจ้าของที่ดินเดิม จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลูกสร้างเพิงถนนพิพาท และจำเลยที่ 2 นำสิ่งของจำพวกยางรถยนต์และเศษไม้วางบนถนนพิพาท ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกมีว่า คำฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมหรือไม่ ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 6 ถึงข้อ 8 ทำนองว่า จำเลยทั้งสองปลูกสร้างเพิงและวางสิ่งของจำนวนมากบนถนนพิพาททำให้โจทก์และผู้เช่าที่อยู่อาศัยของโจทก์ได้รับความเดือนร้อน เสื่อมความสะดวกในการใช้ถนนพิพาทเพื่อออกสู่ที่ดินของโจทก์และบ้านที่ปลูกให้เช่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนเพิงและเก็บสิ่งของต่าง ๆ ออกจากถนนพิพาทและปรับถนนพิพาทให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ทั้งในคำขอท้ายคำฟ้องก็ระบุในข้อ 3 ว่า ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนเพิงและเก็บสิ่งของต่าง ๆ ออกจากถนนพิพาทและปรับถนนพิพาทให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี เช่นนี้ เห็นได้ว่าตามคำฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดสิทธิของโจทก์ที่ปลูกเพิงและนำสิ่งของต่าง ๆ มาวางบนถนนพิพาทซึ่งเป็นภาระจำยอมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคือ โจทก์ละผู้เช่าที่อาศัยของโจทก์ได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้ความสะดวกในการใช้ถนนพิพาทเข้าออกที่ดินและบ้านที่ปลูกให้เช่าของโจทก์กับมีคำขอให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนเพิงและเก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่นำมาวางออกจากถนนพิพาทและปรับถนนพิพาทให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยใช้งานได้ดีด้วยแล้ว แม้โจทก์จะบรรยายกำหนดค่าเสียหายที่เรียกร้องมาลอยๆ ก็ตาม ก็เป็นเพียงการกำหนดมูลค่าของความเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่านั้น ซึ่งโจทก์สามารถนำสืบในรายละเอียดของความเสียหายนั้นได้ในชั้นพิจารณา ทั้งความเสียหายดังกล่าวเป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณากำหนดให้ตามความเป็นจริงอยู่แล้ว คำฟ้องโจทก์ส่วนนี้จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อต่อมาทำนองว่า โจทก์เป็นผู้ทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกเอง เนื่องจากโจทก์ได้สร้างราวตากผ้าบริเวณหน้าห้องเช่าของโจทก์มาถึงกึ่งกลางของถนนพิพาทด้วย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายทั้งโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลูกเพิงบนถนนพิพาท และจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำสิ่งของต่าง ๆ จำพวกยางรถยนต์และเศษไม้มาวางบนถนนพิพาทซึ่งเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ เช่นนี้การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการขัดขวางมิให้โจทก์และบริวารของโจทก์ได้รับความสะดวกในการใช้ถนนพิพาทถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือขาดความสะดวกแก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าโจทก์หรือบริวารของโจทก์สร้างราวตากผ้าในถนนพิพาทด้วยก็หาทำให้การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็เพราะจำเลยทั้งสองทำให้ประโยชน์แห่งถนนพิพาทซึ่งเป็นทางภาระจำยอมลดไปหรือขาดความสะดวกแก่โจทก์ การฟ้องคดีของโจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อต่อมาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 1 ปี นับแต่วันเกิดเหตุแล้วนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองปลูกสร้างเพิงและวางสิ่งของจำพวกยางรถยนต์และเศษไม้จำนวนมากบนถนนพิพาทตั้งแต่ปี 2533 คิดถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2540 อันเป็นวันฟ้องเกิน 1 ปี แล้วก็ตาม แต่เมื่อเพิงและสิ่งของต่าง ๆ ที่จำเลยทั้งสองกระทำขึ้นยังมีอยู่บนถนนพิพาทตลอดมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีเช่นนี้ สิทธิในการฟ้องขอให้รื้อถอนเพิงและขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ออกไปจากถนนพิพาท ซึ่งเป็นทางภาระจำยอมจึงยังคงมีอยู่ตลอดไป คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อสุดท้ายทำนองว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองแล้ว เพราะโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของจำเลยทั้งสองว่าโจทก์ไม่ติดใจค่าเสียหายที่จะคิดจากจำเลยทั้งสองเดือนละ 5,000 บาท อีกแล้ว ทั้งโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปนั้น จึงไม่ชอบ เห็นว่า เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเหตุทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายที่ไม่ได้รับความสะดวกในการใช้ถนนพิพาทซึ่งเป็นทางภาระจำยอม ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์แล้วจำเลยทั้งสองจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่โจทก์เพียงไม่ได้รับความสะดวกในการใช้ถนนพิพาท ไม่ถึงกับไม่สามารถใช้ถนนพิพาทได้เลย ทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบให้ปรากฏรายละเอียดว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างใดบ้าง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คิดเป็นเงินเดือนละ 3,000 บาท นั้น จึงยังไม่เหมาะสม ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้เหมาะสม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คิดเป็นเงินเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share