แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ยอมอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินให้จำเลยที่ 1 จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกัน (อาวัล) จำเลยที่ 1 ในการใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ทรงและโจทก์ต้องผูกพันรับผิดต่อผู้ทรงเป็นอย่างเดียวกันกับจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ได้ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ทรงแทนจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ย่อมใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 940 วรรคท้าย จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปจำนำไว้แก่โจทก์เป็นประกันการที่โจทก์ยอมอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินให้จำเลยที่ 1 ซึ่งตามสัญญาจำนำมีข้อตกลงว่า หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ต่อโจทก์ยอมให้โจทก์เรียกเก็บเงินจากตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 2 ได้ทันที แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะถูกองค์การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) มีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ ก็เป็นเรื่องความรับผิดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาจำนำ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่รับจำนำไว้ หนี้ตามสัญญาใช้เงินที่โจทก์อาวัลยังไม่ระงับ จึงไม่ทำให้จำเลยที่ 1 พ้นจากความรับผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,009,008,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยจำนวน 190,249,677.86 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 22 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 1,009,008,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยจำนวน 161,168,294.96 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.25 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 1,009,008,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,009,008,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 148,410,000 บาท 259,717,500 บาท 26,190,000 บาท 45,832,500 บาท นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 จากต้นเงินจำนวน 4,950,000 บาท นับแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2540 จากต้นเงินจำนวน 160,282,800 บาท 280,494,900 บาท 28,285,200 บาท 49,499,100 บาท นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2541 จากต้นเงินจำนวน 5,346,000 บาท นับแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 18 พฤศจิกายน 2541) ต้องไม่เกิน 190,249,677.86 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ เมื่อระหว่างเดือนกรกฎาคม 2539 ถึงเดือนสิงหาคม 2539 จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 10 ฉบับ เพื่อชำระหนี้ให้แก่บริษัททำนาลำไซ จำกัด โดยขอให้โจทก์อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวทั้ง 10 ฉบับ และจำเลยที่ 1 ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 3 ฉบับ ที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกสั่งให้ใช้เงินแก่จำเลยที่ 1 มาจำนำกับโจทก์เพื่อเป็นประกันการที่โจทก์อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน 10 ฉบับ ต่อมาเมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ออกเพื่อชำระหนี้ถึงกำหนดชำระ โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน จำเลยที่ 2 ไม่ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 ฉบับ ที่จำนำไว้เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ระงับการดำเนินกิจการ ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงิน โจทก์ได้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 10 ฉบับ แทนจำเลยที่ 1 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาประการแรกว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 10 ฉบับ ต่อโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า คำขอให้โจทก์อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญาจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นนิติกรรมอำพรางข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีข้อตกลงที่แท้จริงว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระหนี้ที่โจทก์ชำระเงินให้แก่บริษัททำนาลำไซ จำกัด ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์รับอาวัลตามฟ้องแทนจำเลยที่ 1 แต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์รับอาวัลไว้แทนจำเลยที่ 1 ดังนี้คำขอให้โจทก์อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญาจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินจึงไม่เป็นนิติกรรมอำพราง และเมื่อโจทก์ยอมอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินให้จำเลยที่ 1 เช่นนี้โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกัน (อาวัล) จำเลยที่ 1 ในการใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ทรง และโจทก์ต้องผูกพันรับผิดต่อผู้ทรงเป็นอย่างเดียวกันกับจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ในฐานะผู้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินได้ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 10 ฉบับให้แก่ผู้ทรงแทนจำเลยที่ 1 โจทก์ย่อมใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940 วรรคท้าย จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 10 ฉบับแก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่จำเลยที่ 1 นำมาจำนำไว้กับโจทก์ถูกองค์การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) มีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้นั้น เป็นเรื่องความรับผิดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาจำนำและโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่รับจำนำไว้ หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์อาวัลยังไม่ระงับ จึงไม่ทำให้จำเลยที่ 1 พ้นจากความรับผิด”
พิพากษายืน