แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ มีหน้าที่ในการตรวจผลเลือด ผลทางเคมีอุจจาระ และปัสสาวะ เพื่อส่งให้แพทย์วินิจฉัยช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคได้อย่างถูกต้อง อันจะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย การที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ขาดความเอาใจใส่และความรับผิดชอบในหน้าที่ ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ไม่ครบถ้วน ล่าช้า ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของผู้ป่วย อันมีผลกระทบถึงชื่อเสียงของโรงพยาบาลจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเป็นอย่างมากจึงเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง และยังถือว่าเป็นการกระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไป โดยถูกต้องและสุจริตอีกด้วย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 มาตรา 119(3) และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583
เมื่อการกระทำของโจทก์เป็นเหตุให้จำเลยเสียชื่อเสียงในการประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชนเป็นอย่างมาก และเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจึงนับว่ามีเหตุสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ มิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 16,200บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน วันที่ 28 ตุลาคม 2543 จำเลยทำหนังสือเลิกจ้างโจทก์ โดยกล่าวหาว่าโจทก์ปฏิบัติงานในหน้าที่บกพร่อง ไม่อุทิศตัวให้กับงานในภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ทำให้เกิดผลเสียหายแก่จำเลย มีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวิชาชีพและองค์กรซึ่งไม่เป็นความจริง โจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันมาครบ 9 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน เป็นเงิน 129,600บาท มีสิทธิได้สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 30 วัน เป็นเงิน 16,200 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม จึงขอเรียกค่าเสียหายโดยคิดจากค่าจ้างอัตราสุดท้าย 6เดือน เป็นเงิน 97,200 บาท จำเลยยังไม่ได้จ่ายค่าจ้างของเดือนตุลาคมแก่โจทก์ เป็นเงิน16,200 บาท และจำเลยเรียกเก็บเงินประกันในการทำงานจากโจทก์จำนวน 4,000 บาทจำเลยต้องจ่ายคืนแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 16,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จ่ายเงินประกันการทำงานจำนวน 4,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จจ่ายค่าจ้างจำนวน 16,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จ่ายค่าชดเชยจำนวน 129,600บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 97,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ปฏิบัติงานบกพร่องผิดพลาดในหน้าที่ ประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง โจทก์มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในตำแหน่งหน้าที่การงาน และโจทก์กล่าวให้ร้ายผู้บริหารของจำเลยและเจ้าหน้าที่จำเลยไปในทางที่เสียหายไม่เป็นความจริง ทำให้จำเลยได้รับความเสื่อมเสียต่อการประกอบกิจการและเสียชื่อเสียง โจทก์ไม่อุทิศตัวให้แก่หน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำให้การ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมโจทก์ทำความเสียหายให้จำเลยอย่างร้ายแรง จำเลยมีสิทธิที่จะยึดเงินประกันการทำงานของโจทก์ได้ ค่าจ้างซึ่งจำเลยยังค้างชำระแก่โจทก์นั้นเนื่องจากมีข้อบกพร่อง ในการแก้ไขการเสียภาษีอากรของโจทก์และเจ้าหน้าที่ทุกคน จำเลยจึงระงับการจ่ายเงินของโจทก์ไว้ก่อน ซึ่งจำเลยจะจ่ายให้ภายหลังเมื่อทำการตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 18,360 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ชำระเงินประกันทำงานจำนวน 4,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ชำระค่าจ้างจำนวน 14,580บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ชำระค่าชดเชยจำนวน 129,600 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “เห็นควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเสียก่อนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์นั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ (วิทยาศาสตร์การแพทย์) มีหน้าที่ตรวจผลเลือดผลทางเคมี อุจจาระ และปัสสาวะ เพื่อส่งให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาโรคต่อไป เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2543 แพทย์สั่งให้พยาบาลเจาะเลือดผู้ป่วยแล้วนำไปให้โจทก์ตรวจการทำหน้าที่ของไต แต่เมื่อแพทย์ได้รับผลการตรวจเลือดจากโจทก์แล้วเห็นว่าการตรวจเลือดไม่สอดคล้องกับอาการของผู้ป่วย โดยผลการตรวจเลือดเป็นอาการของคนปกติธรรมดา ซึ่งผู้ป่วยโรคไตไม่น่าจะมีผลเลือดเชนนั้น เมื่อแพทย์สั่งให้โจทก์ตรวจเลือดผู้ป่วยอีกครั้ง ผลการตรวจเลือดในครั้งที่สองซึ่งเป็นผลการตรวจที่ถูกต้อง ได้ผลเลือดมีค่าแตกต่างจากที่ตรวจในครั้งแรกมากและในวันที่ 20 มิถุนายน 2543 เวลา 22.20 นาฬิกา เป็นเวรของโจทก์ที่จะต้องเตรียมเลือดให้ผู้ป่วย แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติงานตามหน้าที่อ้างว่าสั่งให้พยาบาลปฏิบัติหน้าที่แทนนอกจากนี้ในวันที่ 27 กันยายน 2543 แพทย์สั่งให้โจทก์ตรวจหาผลเลือดทางเคมี 2 ชนิดแต่โจทก์ตรวจหาผลทางเคมีให้เพียงชนิดเดียว ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ไม่ครบถ้วนจึงต้องสั่งให้โจทก์ตรวจหาค่าทางเคมีที่ยังไม่ได้ตรวจอีกชนิดหนึ่ง เห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ (วิทยาศาสตร์การแพทย์) มีหน้าที่ในการตรวจผลเลือด ผลทางเคมีอุจจาระ และปัสสาวะ เพื่อส่งให้แพทย์วินิจฉัยและทำการรักษาโรคแก่ผู้ป่วยต่อไป หน้าที่ของโจทก์จึงเป็นหน้าที่อันสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคแก่ผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง อันจะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย การที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการประมาทเลินเล่อ ขาดความเอาใจใส่และความรับผิดชอบในหน้าที่ อันเป็นความบกพร่องอย่างยิ่ง จำเลยประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชนความถูกต้องรวดเร็วในการวินิจฉัยและการรักษาโรค รวมทั้งความปลอดภัยของผู้ป่วย จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการที่จะได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากผู้ป่วยหรือผู้ที่จะนำผู้ป่วยเข้ามารับการรักษา หากการวินิจฉัยและการรักษาโรคของโรงพยาบาลจำเลยมีแต่ความผิดพลาด บกพร่อง ล่าช้า ซึ่งมีผลให้ผู้ป่วยต้องเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตหรือสุขภาพแล้วก็ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามารับการรักษาหรือนำผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลจำเลยอย่างแน่นอน ดังนั้น การที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ขาดความเอาใจใส่และความรับผิดชอบในหน้าที่ ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ไม่ครบถ้วน ล่าช้า ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของผู้ป่วย อันมีผลกระทบถึงชื่อเสียงของโรงพยาบาลจำเลยเป็นอย่างมากดังกล่าวแล้ว จึงเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง และยังถือว่าเป็นการกระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตอีกด้วย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(3) และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและจำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์นั้น เห็นว่า การพิจารณาว่าการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมอันเป็นเหตุให้นายจ้างต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 หรือไม่ ต้องพิจารณาว่ามีเหตุอันสมควรที่นายจ้างจะเลิกจ้างหรือไม่ ซึ่งเหตุดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากการกระทำของลูกจ้างหรือเหตุอื่นที่มิใช่การกระทำความผิดของลูกจ้างก็ได้ แต่เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่าการกระทำของโจทก์อันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้น เป็นเหตุให้จำเลยเสียชื่อเสียงในการประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชนเป็นอย่างมาก และเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงนับว่ามีเหตุสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ มิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหาย คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางในส่วนนี้ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง