แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 6″ที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ”หมายความว่า ที่ดินซึ่งปลูกโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆและบริเวณต่อเนื่องกันซึ่งตามปกติใช้ไปด้วยกันกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างนั้น ๆ ได้ความว่า คลังพัสดุของโจทก์มีพื้นที่ 3,360 ตารางเมตร ส่วนที่ดินอีก 98,944 ตารางเมตรนั้นเป็นพื้นที่ในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ใช้ปลูกโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ทั้งเมื่อนำมาพิจารณาประกอบแผนผังแสดงที่ตั้งคลังน้ำมันของโจทก์และภาพถ่ายที่ตั้งคลังพัสดุแล้วเห็นได้ว่าพื้นที่ว่างที่มิได้ใช้ปลูกโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นอยู่กระจัดกระจายกันไป อีกทั้งบริเวณรอบอาคารคลังพัสดุก็มีรั้วล้อมรอบ พื้นที่ว่างนอกรั้วแยกอยู่ต่างหากจากคลังพัสดุโดยมีถนนกับทางรถไฟและคลองคั่นอยู่ ดังนั้น พื้นที่ว่างที่ ไม่ได้ปลูกโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างที่เหลือเนื้อที่ 98,944 ตารางเมตร จึงมิใช่พื้นที่บริเวณต่อเนื่องกับคลังพัสดุ การที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยนำเอาพื้นที่ดังกล่าวมารวมกัน พื้นที่คลังพัสดุ แล้วประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ จึงเป็น การประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวของผู้ว่าราชการของจำเลยย่อมเป็นการไม่ชอบไปด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า การประเมินภาษีของพนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยไม่ถูกต้อง ขอให้เพิกถอนใบแจ้งรายการประเมินของจำเลยและใบแจ้งคำชี้ขาดของผู้ว่าราชการของจำเลยโดยเพิกถอนเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับคลังพัสดุกับให้เพิกถอนจำนวนเงินค่าภาษีในปีภาษี 2538 เป็นเงิน 1,797,373.81 บาท และให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีจำนวน 1,797,373.81 บาท ดังกล่าวให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระต้นเงินคืนให้แก่โจทก์ครบถ้วน
จำเลยให้การว่า การประเมินค่ารายปี ค่าภาษี และคำวินิจฉัยชี้ขาดของจำเลยถูกต้องแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินตามใบแจ้งรายการประเมิน เล่มที่ 34 เลขที่ 23 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2538 และคำชี้ขาดของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครตามใบแจ้งคำชี้ขาดเล่มที่ 19 เลขที่ 19 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2540เฉพาะในส่วนโรงเรือนที่เป็นคลังพัสดุเนื้อที่ 2,535.48 ตารางเมตรให้คิดค่ารายปีเป็นเงิน 887,949.51 บาท และเป็นค่าภาษี110,993.69 บาท และให้จำเลยคืนเงินภาษีจำนวน 459,489.31 บาทให้แก่โจทก์ภายในกำหนดสามเดือน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดถ้าไม่คืนในกำหนดดังกล่าวให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากเงินต้นดังกล่าวที่ยังไม่คืนนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ประจำปีภาษี 2538 สำหรับโรงเรือนและที่ดินของโจทก์รวม 223 รายการ ซึ่งปลูกกระจัดกระจายในพื้นที่ 90 ไร่1 งาน 54.625 ตารางวา หรือ 144,618 ตารางเมตร ตั้งอยู่เลขที่ 81 ถนนเชื้อเพลิง แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานครปรากฏตามแผนผังแสดงที่ตั้งคลังน้ำมันของโจทก์เอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 55 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้แจ้งประเมินภาษีตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 5 ถึง 32 โจทก์ ไม่เห็นด้วยกับการประเมินเฉพาะคลังพัสดุและที่ดินที่ใช้ต่อเนื่องซึ่งกำหนดค่ารายปี15,266,940 บาท และค่าภาษี 1,908,367.50 บาท จึงยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 ผู้ว่าราชการของจำเลยพิจารณาคำร้องแล้วมีคำชี้ขาดให้โจทก์ชำระค่าภาษีตามการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 33 โจทก์นำเงินค่าภาษีตามที่ประเมินไปชำระแล้ว และฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางโดยที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งว่า ที่ดินส่วนที่เป็นที่ว่างที่จำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นเนื้อที่ 98,944 ตารางเมตร จำเลยคิดค่ารายปี 10,703,076 บาท เป็นค่าภาษี 1,337,884.50 บาท
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า สำหรับที่ดินส่วนที่เป็นที่ว่างเนื้อที่ 98,944 ตารางเมตร ถือได้ว่าเป็นที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับสิ่งปลูกสร้างคือคลังพัสดุที่จะประเมินรวมกันดังการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินและคำชี้ขาดของผู้ว่าราชการของจำเลยตามที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาหรือไม่ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 6บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์แห่งพระราชบัญญัตินี้ท่านให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็น 2 ประเภท คือ
(1) โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ กับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ
(2) ที่ดินซึ่งมิได้ใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ
“ที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ” ตามความหมายแห่งมาตรานี้หมายความว่า ที่ดินซึ่งปลูกโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ และบริเวณต่อเนื่องกันซึ่งตามปกติใช้ไปด้วยกันกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างนั้น ๆ”กรณีคลังพัสดุตามฟ้อง ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า มีพื้นที่ 3,360 ตารางเมตร ส่วนที่ดินอีก 98,944 ตารางเมตรนั้น เป็นพื้นที่ในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ใช้ปลูกโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ทั้งเมื่อได้พิจารณาประกอบแผนผังแสดงที่ตั้งคลังน้ำมันของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 55 และภาพถ่ายที่ตั้งคลังพัสดุตามภาพถ่ายในเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 39 แล้ว จะเห็นได้ว่าพื้นที่ว่างที่มิได้ใช้ปลูกโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นอยู่กระจัดกระจายกันไป อีกทั้งบริเวณรอบอาคารคลังพัสดุก็มีรั้วล้อมรอบพื้นที่ว่างนอกรั้วแยกอยู่ต่างหากจากคลังพัสดุโดยมีถนนกับทางรถไฟและคลองคั่นอยู่ตามภาพถ่ายในเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 35 ถึง 38 ดังนั้น พื้นที่ว่างที่ไม่ได้ปลูกโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างที่เหลือเนื้อที่ 98,944 ตารางเมตร จึงมิใช่พื้นที่บริเวณต่อเนื่องกับคลังพัสดุซึ่งตามปกติใช้ไปด้วยกันกับคลังพัสดุที่ศาลภาษีอากรกลางฟังว่าที่ดินส่วนที่เป็นที่ว่างมีสภาพเป็นที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ทั้งหมดจึงนำมาประเมินรวมกับพื้นที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอาคารใดอาคารหนึ่งได้ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และคดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยว่า ที่ดินที่เป็นปัญหานี้เป็นที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นหรือไม่กรณีต้องใช้วิธีประเมินอย่างไรแต่อย่างใด เมื่อที่ดินส่วนที่เป็นที่ว่างเนื้อที่ 98,944 ตารางเมตร มิใช่เป็นที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับคลังพัสดุดังได้วินิจฉัยมาแล้ว การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยนำเอาพื้นที่ดังกล่าวมารวมกับพื้นที่คลังพัสดุแล้วประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายคำวินิจฉัยชี้ขาดของผู้ว่าราชการของจำเลยย่อมเป็นการไม่ชอบไปด้วย ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาเฉพาะส่วนดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินตลอดจนคำชี้ขาดของผู้ว่าราชการของจำเลยในส่วนที่เป็นที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับคลังพัสดุเนื้อที่ 98,944 ตารางเมตร สำหรับปีภาษี 2538 ให้จำเลยคืนเงินภาษีจำนวน 1,337,884.50 บาท อีกจำนวนหนึ่งให้แก่โจทก์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่อ่านคำพิพากษานี้มิฉะนั้นให้จำเลยชำระดอกเบี้ยตามอัตราและระยะเวลาดังที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาไว้ในคดีนี้ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง