คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 699/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยร่วมที่ 4 ถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดีตามคำร้องขอของโจทก์ เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) จำเลยร่วม ที่ 4 จึงมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ทั้งมี สิทธิที่อาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดงคัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้ถามค้านพยานที่ได้สืบมาแล้ว และคัดค้านพยานหลักฐานของโจทก์ที่ได้สืบไปแล้วก่อนที่ตนได้ร้องสอด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 58 วรรคหนึ่งแต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยร่วมที่ 4 มิได้แต่งตั้ง ส. ให้เป็นทนายความของตน การที่ ส. แถลงยอมรับว่าจำเลยร่วมที่ 4เป็นบริวารของจำเลยและแถลงไม่ติดใจสืบพยาน จึงย่อมไม่มีอำนาจที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2แทนจำเลยร่วมที่ 4 ได้ การกระทำของ ส. เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นเชื่อว่า ส. มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยร่วมที่ 4 ได้ อันเป็นการไม่ชอบ จึงไม่ได้แจ้งคำสั่งให้จำเลยร่วมที่ 4 ทราบต่อ ๆ มาอีกจึงถือได้ว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนนี้ใหม่ตามมาตรา 243(2) ประกอบ มาตรา 247 แม้โจทก์จะเคยเป็นทนายความแก้ต่างให้แก่ น.ในคดีที่จำเลยฟ้อง น. กับพวก ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แต่คดีดังกล่าวจำเลยถอนฟ้อง น. ไปแล้วและไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นฟ้อง น. ในภายหลังเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแสดงว่า จำเลยไม่ติดใจโต้แย้งสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของ น. อีกต่อไป การที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริต โจทก์จึงได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1686 ได้มาโดยซื้อในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยและบริวารรื้อถอนขนย้ายออกไปจากที่ดินโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายออกไปจากที่ดินโจทก์ กับชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ10,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนขนย้ายออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่กรรม นางสาวพัฒนา ศิริธรทายาทยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน และโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางสี เสนาหลวง นายคับ เสนาหลวง นายอ่อน เสนาหลวงและนางติ้ง สียิ่งหรือแสงวิทย์เวทย์ บริวารของจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 1, ที่ 2, ที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสี่พร้อมบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์อีกต่อไป หากไม่รื้อถอนก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเองโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่าย กับให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและจำเลยร่วมทั้งสี่พร้อมบริวารจะออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเองโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสี่ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยร่วมที่ 4 เสียก่อน โดยจำเลยร่วมที่ 4 ฎีกาว่าจำเลยร่วมที่ 4 ไม่ได้ตั้งนายสมเกียรติ พุทธิปัญญาเป็นทนายความ การที่นายสมเกียรติดำเนินกระบวนพิจารณาไปแทนจำเลยร่วมที่ 4 เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาเพราะทำให้จำเลยร่วมที่ 4 ไม่มีโอกาสต่อสู้คดีได้นั้น พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนรับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่21 มิถุนายน 2537 โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้หมายเรียกนางสี เสนาหลวง จำเลยร่วมที่ 1 นายคับ เสนาหลวงจำเลยร่วมที่ 2 นายอ่อน เสนาหลวง จำเลยร่วมที่ 3 และนางติ้ง สียิ่งหรือแสงวิทย์เวทย์ หรือละมัย ขวัญพรหมณ์จำเลยร่วมที่ 4 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลย เพราะบุคคลทั้งสี่อ้างว่าเป็นญาติและบริวารของจำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกบ้านเรือนในที่ดินพิพาทคนละหลังตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องสอด เพื่อให้ร่วมรับผิดกับจำเลยต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้หมายเรียกบุคคลทั้งสี่เข้ามาเป็นจำเลยร่วม และกำหนดให้ยื่นคำให้การแก้คดีภายในกำหนด 15 วัน ในการส่งหมายเรียกดังกล่าวเจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำร้องสอดไปส่งให้แก่จำเลยร่วมที่ 1 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2537 โดยจำเลยร่วมที่ 1ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำร้องสอดไว้แทนจำเลยร่วมที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2537แต่จำเลยร่วมที่ 4 มีบ้านอยู่ต่างหากจากบ้านของจำเลยร่วมที่ 1ต่อมาวันที่ 9 สิงหาคม 2537 จำเลยร่วมที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ได้แต่งตั้งนายสมเกียรติ พุทธิปัญญา เป็นทนายความโดยจำเลยร่วมที่ 4 ไม่ได้แต่งตั้งนายสมเกียรติให้เป็นทนายความของตน วันนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 9 สิงหาคม 2537 นายสมเกียรติทนายความแถลงหมดพยานจำเลยและแถลงว่าสำหรับนางสี เสนาหลวง จำเลยร่วมที่ 1นายคับ เสนาหลวง จำเลยร่วมที่ 2 นายอ่อน เสนาหลวงจำเลยร่วมที่ 3 และนางติ้ง สียิ่งหรือแสงวิทย์เวทย์จำเลยร่วมที่ 4 ที่โจทก์เรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้นทนายจำเลยยื่นคำแถลงฉบับลงวันที่วันนี้ยอมรับว่าจำเลยร่วมทั้งสี่เป็นบริวารของจำเลย ไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณา ให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 28 ตุลาคม 2537เวลา 13.30 นาฬิกา ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่9 สิงหาคม 2537 และต่อมานายสมเกียรติได้ยื่นอุทธรณ์แทนจำเลยร่วมที่ 4 ด้วยตามอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2537 ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยร่วมที่ 4ถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดีตามคำร้องขอของโจทก์ เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) ดังนั้นจำเลยร่วมที่ 4 จึงมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ทั้งมีสิทธิที่อาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดงคัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้ ถามค้านพยานที่ได้สืบมาแล้ว และคัดค้านพยานหลักฐานของโจทก์ที่ได้สืบไปแล้วก่อนที่ตนได้ร้องสอด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 58 วรรคหนึ่งแต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยร่วมที่ 4 มิได้แต่งตั้งนายสมเกียรติให้เป็นทนายความของตน การที่นายสมเกียรติได้แถลงยอมรับว่าจำเลยร่วมที่ 4 เป็นบริวารของจำเลยและแถลงไม่ติดใจสืบพยาน จึงย่อมไม่มีอำนาจที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 แทนจำเลยร่วมที่ 4ได้ การกระทำของนายสมเกียรติทนายความดังกล่าว เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นเชื่อว่า นานสมเกียรติมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยร่วมที่ 4 ได้ อันเป็นการไม่ชอบ จึงไม่ได้แจ้งคำสั่งให้จำเลยร่วมที่ 4 ทราบต่อ ๆ มาอีก กรณีจึงถือได้ว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247 ฎีกาของจำเลยร่วมที่ 4 ฟังขึ้น
คดีคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3 ในประการแรกว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริตหรือไม่ โดยจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ทราบข้อเท็จจริงว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2535 การซื้อที่ดินพิพาทของโจทก์จึงไม่สุจริต โจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 โจทก์นำสืบว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลในราคา700,000 บาท และจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์เมื่อปี 2536 ตามเอกสารหมาย จ.1 และจ.2 จำเลยนำสืบว่าจำเลยเคยฟ้อง นายเสน ศรีพิมพ์ นายประเทือง โคตวีระและนายเน็ด โฉมอุดม ขอเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท โจทก์เป็นทนายความให้แก่บุคคลทั้งสาม เห็นว่า แม้โจทก์จะเคยเป็นทนายความแก้ต่างให้แก่นายเน็ดในคดีที่จำเลยฟ้องนายเน็ดกับพวกขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แต่คดีดังกล่าวได้ความจากโจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้าน และจากคำรับตามฎีกาจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3ว่าจำเลยถอนฟ้องนายเน็ดไปแล้ว และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นฟ้องนายเน็ดในภายหลังเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแสดงว่า จำเลยไม่ติดใจโต้แย้งสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เอกสารหมาย จ.2 ของนายเน็ดอีกต่อไปการที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตโจทก์จึงได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ฎีกาจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3พร้อมบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1686 ตำบลบ้านกลาง อำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์อีกต่อไป ให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1ถึงที่ 3 ร่วมกันได้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3 พร้อมบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์และจำเลยร่วมที่ 4 ตั้งแต่วันที่9 สิงหาคม 2537 โดยกำหนดให้จำเลยร่วมที่ 4 ยื่นคำให้การใหม่และดำเนินการต่อไปจนเสร็จการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share