คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4421/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วคดีอยู่ระหว่างสืบพยานจำเลยจำเลยส่งหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยต่อศาลและแถลงว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้ว โจทก์ร่วมรับว่าทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจริง แต่ทำด้วยความสำคัญผิดแต่โจทก์ก็ไม่ได้แถลงขอสืบพยานเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยที่ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานให้เห็นว่าทำสัญญานั้นโดยสำคัญผิดก็ต้องฟังว่าสัญญานั้นสมบูรณ์
การยอมความกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) นั้น ไม่จำเป็นต้องกระทำต่อหน้าศาลเสมอไปอาจกระทำกันนอกศาลก็ได้แต่กรณีที่โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าผู้เสียหายหรือโจทก์ร่วมถูกหลอกให้ทำสัญญา และไม่นำสืบให้เห็นว่าผู้เสียหายหรือโจทก์ร่วมไม่ยอมรับข้อสัญญาโดยที่ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์จึงต้องฟังว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 นางสาวนิศา ไตรวิโรจน์เกษมผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จ คดีอยู่ระหว่างสืบพยานจำเลย จำเลยส่งหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยต่อศาลและแถลงว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้วโจทก์ร่วมรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจริง แต่ทำด้วยความสำคัญผิด จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยยอมความกันถูกต้องตามกฎหมายแล้วสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ

โจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีอาญาภารการพิสูจน์ความผิดของจำเลยตกอยู่กับโจทก์หาใช่จำเลยไม่ โดยโจทก์ต้องนำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยให้ได้ดังฟ้องโดยปราศจากข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสิทธิฟ้องคดีหรือเหตุอันกฎหมายถือว่าไม่เป็นผิดเช่นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุหรือไม่เป็นต้น มิฉะนั้นย่อมลงโทษจำเลยมิได้ต้องยกฟ้องกรณีนี้โจทก์ทราบดีระหว่างสืบพยานของตนแล้วว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้กับจำเลย ดังจะเห็นได้จากวันที่ที่ทำสัญญาซึ่งโจทก์รับว่าทำไว้จริงและจากการที่โจทก์ร่วมเองร้องขอถอนฟ้องตามคำร้องลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2526 แต่โจทก์ก็ไม่นำสืบถึงความไม่สมบูรณ์ของสัญญาดังกล่าวยิ่งกว่านั้นเมื่อจำเลยยกสัญญานั้นขึ้นต่อสู้แม้จะหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแต่ก็ยังไม่ได้สืบพยานจำเลย โจทก์ก็หาได้แถลงขอสืบพยานของตนเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อให้เห็นว่าสัญญานี้ไม่สมบูรณ์ไม่ทำให้สิทธินำคดีมาฟ้องของตนระงับไปดังจำเลยอ้างไม่ ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีสิทธิจะทำเช่นนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานให้เห็นว่าทำสัญญานั้นโดยสำคัญผิดก็ต้องฟังว่าสัญญานั้นสมบูรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์รับฟังสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยนั้นชอบแล้ว

ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยชอบด้วยกฎหมายเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยข้อกฎหมายเพราะเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ไม่ต้องการให้ผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงชื่อในสัญญาหรือทำสัญญากันนอกศาลและคู่สัญญาต้องยอมรับข้อสัญญาโดยไม่โต้แย้งด้วยนั้น เห็นว่าการยอมความกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามความหมายของกฎหมายดังกล่าวข้างต้นไม่จำเป็นต้องกระทำต่อหน้าศาลเสมอไป อาจกระทำกันนอกศาลได้ ส่วนที่ว่าผู้เสียหายต้องไม่ถูกหลอกให้ทำสัญญาและคู่สัญญาต้องยอมรับข้อสัญญาด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยแต่กรณีนี้โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าผู้เสียหายหรือโจทก์ร่วมถูกหลอกให้ทำสัญญาและไม่นำสืบให้เห็นว่าผู้เสียหายหรือโจทก์ร่วมไม่ยอมรับข้อสัญญาแต่อย่างใดโดยที่ภาระการพิสูจน์ซึ่งตกโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายถูกหลอกและไม่ยอมรับข้อสัญญาดังกล่าว ต้องฟังว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยชอบด้วยกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share