แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม จำเลยมีเจตนากระทำต่อผู้ปกครองหรือผู้ดูแลซึ่งก็คือผู้เสียหายที่ 2 เป็นความผิดกรรมหนึ่งส่วนความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจโดยมีอาวุธตามมาตรา 309 วรรคสอง กับฐานร่วมกันกระทำอนาจารตามมาตรา 278 และฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยกระทำความผิดและกฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายขณะที่จำเลยกระทำความผิดบังคับนั้น จำเลยมีเจตนาเดียวกันคือ พาผู้เสียหายที่ 1 ไปข่มขืนกระทำชำเรา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 276 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2545 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงถึงเวลากลางวันต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน จำเลยกับพวกอีกหลายคนซึ่งไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันพรากนางสาวกมลทิพย์ พงษ์ขำ ผู้เสียหายที่ 1 อายุสิบห้าปีเศษ ไปเสียจากนางสาวนกแก้ว พงษ์ขำ ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ปกครองและผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายที่ 1 ไม่เต็มใจไปด้วย โดยจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายที่ 1 ให้ออกจากที่พักและจำยอมต้องขึ้นรถยนต์คันที่จำเลยกับพวกใช้เป็นยานพาหนะด้วยการขู่เข็ญโดยใช้อาวุธปืนพกสั้น 1 กระบอก จ่อไปที่ศีรษะของผู้เสียหายที่ 1 กับเพื่อนจนผู้เสียหายที่ 1 เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตและร่างกายของผู้เสียหายที่ 1 และเพื่อน เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 จำยอมต้องขึ้นรถยนต์ไปกับจำเลยและพวกแล้วจำเลยกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 โดยการใช้กำลังประทุษร้ายใช้มือล้วงไปที่บริเวณหน้าอกและจูบปากผู้เสียหายที่ 1 กับใช้อาวุธปืนออกมาขู่เข็ญผู้เสียหายที่ 1 จนเกิดความกลัวไม่กล้าขัดขืนและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ภายหลังที่จำเลยกับพวกกระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยกับพวกได้พาผู้เสียหายที่ 1 ไปบ้านพักไม่ทราบเลขที่ จากนั้นจำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมิใช่ภริยาจำเลย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จนสำเร็จความใคร่ เหตุเกิดที่ตำบลท่าหิน ตำบลโคกตูมและตำบลท่าศาลาอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 276, 278, 309, 318
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก, 318 วรรคสาม, 278, 309 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราจำคุก 20 ปี ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารเป็นความผิดกรรมเดียวกับฐานร่วมกันทำให้เสียเสรีภาพโดยมีอาวุธ จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 15 ปี ฐานร่วมกันกระทำอนาจารจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 40 ปี ทางนำสืบจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 30 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานข่มขืนกระทำชำเราจำคุก 12 ปี ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 8 ปี ฐานร่วมกันกระทำอนาจาร จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 22 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลย 16 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า วันเกิดเหตุตามฟ้องเวลาประมาณ 3 นาฬิกา จำเลยกับพวกไปที่โรงแรมลพบุรีซิตี้ ห้องเลขที่ 46 เพื่อสอบถามเกี่ยวกับพระเครื่องที่เพื่อนผู้เสียหายที่ 1 เอาไปแล้วยังไม่นำมาคืน นายสุทัศน์ หัสดีผงซึ่งอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 ในห้องดังกล่าวรวมกับเพื่อนผู้เสียหายที่ 1 อีก 3 – 4 คน จึงพาจำเลยกับพวกมาพบนางสาวเอที่สถานีบริการน้ำมันเจ็ตห่างออกไปไม่ถึงยี่สิบนาที เพื่อรอรับพระเครื่องคืน หลังจากจำเลยกับพวกได้พระเครื่องคืนแล้ว พวกของผู้เสียหายที่ 1 กลับหมด เหลือเพียงผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยและพวกเนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 รอนายโอ๊ตซึ่งเป็นคนรักมารับกลับ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร ฐานร่วมกันข่มขืนใจโดยมีอาวุธ และฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่ เห็นว่า นอกจากโจทก์จะมีผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน ใช้อาวุธปืนขู่บังคับผู้เสียหายที่ 1 ให้นั่งรถไปที่อ่างซับเหล็ก แล้วใช้มือจับหน้าอกผู้เสียหายที่ 1 พร้อมกับจูบปากผู้เสียหายที่ 1 ต่อจากนั้นจำเลยยังพาผู้เสียหายที่ 1 ไปข่มขืน โดยใช้อาวุธปืนพกสั้นขู่บังคับผู้เสียหายที่ 1 จึงยอมร่วมประเวณี โดยจำเลยร่วมประเวณีแล้วหลั่งน้ำอสุจิออกนอกอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 โจทก์ยังมีนายสุทัศน์และผู้เสียหายที่ 2 โดยพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความว่า วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 ร้องไห้มาพบแจ้งว่าถูกจำเลยข่มขืน สอดคล้องกับรายงานการตรวจอวัยวะเพศผู้เสียหายที่ 1 เอกสารหมาย จ. 7 พบรอยฉีกขาดบริเวณเยื่อพรหมจารี และรอยช้ำบวมที่บริเวณเยื่อบุช่องคลอด และปากมดลูกบวมแดง แสดงว่าจำเลยข่มขืนผู้เสียหายที่ 1 โดยแรง รายงานการตรวจอวัยวะเพศผู้เสียหายที่ 1 แพทย์หญิงณัฏฐิกา พรหมพล ผู้ทำการตรวจพิสูจน์ให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ. 26 ว่าทำการตรวจในวันที่ 1 ธันวาคม 2545 เวลา 17.50 นาฬิกา ฟังได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 ไปพบแพทย์ทันทีตรงตามที่ผู้เสียหายที่ 2 ให้การในชั้นสอบสวนว่าพาผู้เสียหายที่ 1 ไปให้แพทย์ตรวจวันที่ 1 ธันวาคม 2545 ตามเอกสารหมาย จ. 15 ที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความผิดแผกแตกต่างไปบ้างในเรื่องสถานที่ถูกข่มขืนว่าเกิดภายในห้องพักเลขที่ 46 โดยไม่ได้เบิกความถึงบ้านไม่มีเลขที่ซอยทหาร เห็นว่า เอกสารที่ทำหลังเกิดเหตุทันทีในเบื้องต้นถือว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพราะยังไม่ได้ถูกขัดเกลาให้เห็นเป็นอย่างอื่น รวมทั้งภาพถ่ายที่ผู้เสียหายที่ 1 ชี้สถานที่เกิดเหตุซอยทหารและเตียงที่เกิดเหตุถูกข่มขืนหมาย จ. 12 นอกจากนี้พันตำรวจตรีอรงค์เดช สอาดบัว พนักงานสอบสวนก็เบิกความว่า ผู้เสียหายที่ 1 ชี้ที่เกิดเหตุและบ้านที่ถูกข่มขืนไว้จริง ที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความหลังเกิดเหตุนานประมาณ 3 ปี ระบุบ้านที่ถูกข่มขืนคือห้องเลขที่ 46 ดูรูปเรื่องเป็นการสร้างขึ้นภายหลังเพื่อให้ประโยชน์แก่จำเลยจะได้เกิดความเข้าใจผิดในการรับฟังข้อเท็จจริง จึงมีน้ำหนักน้อยในการรับฟัง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนบังคับและพรากผู้เสียหายที่ 1 จากบริเวณสถานีบริการน้ำมันเจ็ตไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เสียหายที่ 1 ไม่เต็มใจไปด้วย และข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ที่บริเวณบ้านไม่มีเลขที่ซอยทหาร ข้ออ้างและทางนำสืบของจำเลยว่า หลังจากได้รับพระเครื่องจากนางสาวเอแล้วจำเลยนั่งรถจักรยานยนต์ไปเยี่ยมภริยาซึ่งป่วยใกล้คลอดที่โรงพยาบาลอานันทมหิดล ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ รวมทั้งที่จำเลยฎีกาในทำนองว่า จ่าสิบตำรวจทองสุขซึ่งเป็นน้าผู้เสียหายที่ 1 มีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยมาก่อน จึงหาเรื่องกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยมีน้ำหนักน้อยไม่พอรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้เช่นกัน ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม จำเลยมีเจตนากระทำต่อผู้ปกครองหรือผู้ดูแลซึ่งก็คือผู้เสียหายที่ 2 เป็นความผิดกรรมหนึ่ง ส่วนความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจโดยมีอาวุธตามมาตรา 309 วรรคสอง กับฐานร่วมกันกระทำอนาจารตามมาตรา 278 และฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยกระทำความผิดและกฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายขณะที่จำเลยกระทำความผิดบังคับนั้น จำเลยมีเจตนาเดียวกันคือพาผู้เสียหายที่ 1 ไปข่มขืนกระทำชำเรา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 276 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามฐานนี้ว่าเป็นความผิดต่างกรรมกัน และฐานร่วมกันข่มขืนใจโดยมีอาวุธกับฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ฯ เป็นกรรมเดียวกัน จึงเป็นการไม่ชอบ แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์และมิได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา แต่กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจโดยมีอาวุธ ความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจาร และความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 12 ปี ความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร จำคุก 8 ปี รวมเป็นจำคุก 20 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 15 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1