แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ในบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์จะบรรยายถึงฐานความผิดของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 รับเป็นเจ้าบ้านฯ อันเป็นการใช้คำอย่างย่อโดยละข้อความที่จะตามมาเสีย แต่ในเอกสารฉบับเดียวกันนั่นเองเมื่อกล่าวถึงฐานความผิดของจำเลยที่ 1 ก็บรรยายโดยใช้คำเต็มว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าบ้านจัดให้มีการเล่นและเมื่อศาลชั้นต้นได้บันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาตรา 19 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักผู้จัดการให้มีการเล่นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน จึงย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 นั่นเอง คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพการที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันจึงมิใช่เป็นเรื่องพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวมาในฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2ยังมิได้วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ไม่ร้ายแรงนัก จึงมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1 และคุมความประพฤติไว้ กรณีเช่นว่าเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 โดยรอการลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันอีกฐานหนึ่ง จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้พิพากษาแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2540 เวลา 19.30 นาฬิกาจำเลยทั้งยี่สิบสองร่วมกับพวกที่หลบหนีเล่นการพนันแปดเก้าซึ่งเป็นการเล่นการพนันตามบัญชี ก. หมายเลข 5 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยจำเลยที่ 1 รับเป็นเจ้าบ้าน และมีจำเลยที่ 2 รับเป็นเจ้ามือและร่วมเล่นด้วย ส่วนจำเลยนอกนั้นเป็นผู้ร่วมเล่นมีผู้ขอรับเงินสินบนนำจับนำเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งยี่สิบสองได้พร้อมด้วยไพ่ป๊อก 1 สำรับ ผ้ายางรองพื้น 1 ผืน เงินสด 200 บาท หลอดไฟฟ้า 1 หลอดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4,5, 6, 10, 12 และ 15 ริบของกลาง และจ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งยี่สิบสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งยี่สิบสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12 และ 15 ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าสำนักผู้จัดให้มีการเล่นจำคุก 4 เดือน และปรับ 5,000 บาท ฐานเป็นผู้เล่นปรับ 2,400 บาท รวมจำคุก 4 เดือน และปรับ 7,400 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก4 เดือน และปรับ 5,000 บาท ส่วนจำเลยอื่นนอกนั้นปรับคนละ 2,400 บาทจำเลยทั้งยี่สิบสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำเลยที่ 1จำคุก 2 เดือน และปรับ 3,700 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 2 เดือน และปรับ 2,500บาท จำเลยอื่นนอกนั้นปรับคนละ 1,200 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลางกับให้จำเลยทั้งยี่สิบสองจ่ายเงินสินบนนำจับคนละกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยอัยการพิเศษประจำเขต 1 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 สถานเดียว ไม่ปรับ ไม่รอการลงโทษจำคุกและไม่จ่ายเงินสินบนนำจับเพราะไม่มีโทษปรับแล้ว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าคำฟ้องโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนันฯ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงและกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ฟ้องคดีด้วยวาจาได้ ตามบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องด้วยวาจาบรรยายว่า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม2540 เวลา 19.30 นาฬิกาจำเลยได้บังอาจร่วมกับพวกที่หลบหนีลักลอบเล่นการพนันไพ่แปดเก้า อันเป็นการเล่นดังระบุไว้ในบัญชี ก. หมายเลข 5 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีจำเลยที่ 1 รับเป็นเจ้าบ้านฯ และในแผ่นที่ 2 ซึ่งกลัดติดกับแผ่นแรกบรรยายว่า อนึ่ง คดีนี้มีผู้เข้าเล่นถึง 22 คน จึงเป็นการพนันรายใหญ่ มีจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าบ้านจัดให้มีการเล่น และปรากฏจากที่ศาลชั้นต้นซึ่งได้แก่ศาลแขวงสมุทรปราการได้บันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐานลงในแบบพิมพ์บันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพ คำพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 20 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักให้มีการเล่นการพนันเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน และเมื่อศาลชั้นต้นสอบคำให้การจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า แม้ว่าในบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์จะบรรยายถึงฐานความผิดของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 รับเป็นเจ้าบ้านฯ อันเป็นการใช้คำอย่างย่อโดยละข้อความที่จะตามมาเสีย แต่ในเอกสารฉบับเดียวกันนั่นเองในแผ่นที่ 2 เมื่อกล่าวถึงฐานความผิดของจำเลยที่ 1 ก็บรรยายโดยใช้คำเต็มว่า จำเลยที่ 1เป็นเจ้าบ้านจัดให้มีการเล่นและเมื่อศาลชั้นต้นได้บันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 19 ซึ่งศาลจะต้องทำการสอบถามโจทก์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่จำเลยกระทำผิดก่อนที่ศาลจะบันทึกฟ้องดังกล่าว ศาลชั้นต้นก็ได้บันทึกว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักผู้จัดให้มีการเล่นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน เมื่อพิจารณาเอกสารต่าง ๆ ทั้งหมดประกอบกันแล้วจึงย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 นั่นเอง ดังนั้นคำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพการที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันจึงมิใช่เป็นเรื่องพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวมาในฟ้อง จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดในข้อหานี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังมิได้วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยและเห็นว่าพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ไม่ร้ายแรงนัก จึงมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1 เพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 1 กลับตัวเป็นคนดีสักครั้งหนึ่ง แต่เพื่อให้จำเลยที่ 1 เข็ดหลาบยิ่งขึ้นจึงสมควรกำหนดระยะเวลาในการรอการลงโทษให้นานขึ้น และคุมความประพฤติไว้ กรณีดังกล่าวเป็นเหตุให้ลักษณะคดีแม้จำเลยที่ 2จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 โดยรอการลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 โดยกำหนดโทษปรับจำเลยที่ 2 อีกสถานหนึ่งและคุมความประพฤติจำเลยที่ 2 ไว้ด้วย
อนึ่ง โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนัน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันอีกฐานหนึ่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้พิพากษาแก้นั้นจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันจำคุก 4 เดือน และปรับ 5,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้ปรับอีกสถานหนึ่ง จำนวน5,000 บาท รวมเป็นโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 4 เดือน และปรับ 5,000 บาท เมื่อลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 เดือนและปรับคนละ 2,500 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้คนละ 3 ปี และคุมความประพฤติไว้คนละ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟัง ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดทำนองนี้อีกกับให้ทำงานบริการสังคมและสาธารณประโยชน์ตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 และพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนดคนละ 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จ่ายเงินสินบนนำจับคนละกึ่งหนึ่งของค่าปรับตามกฎหมาย ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้เล่นการพนัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2