แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อที่ดินพิพาทมิได้อยู่ในแนวเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ เพื่อสร้างทางหลวงเทศบาลของกรุงเทพมหานคร การดำเนินการเวนคืนที่ดินพิพาทโดยกรุงเทพมหานครจึงเป็นการกระทำไปโดยปราศจากอำนาจ การที่กรุงเทพมหานครโอนที่ดินพิพาทกลับคืนให้แก่โจทก์จึงเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว เมื่อที่ดินพิพาทดังกล่าวถูกเวนคืนโดย พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ – บางโคล่ฯ และตามบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ต้องเวนคืนท้าย พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังคงมีชื่อโจทก์กับ ส. และ ณ. เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ ซึ่งบุคคลทั้งสามมอบอำนาจให้ทนายโจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยนำเงินค่าทดแทนที่ดินมาชำระแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินการให้มีการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินและจ่ายเงินทดแทนที่ดินให้แก่ฝ่ายโจทก์ตามขั้นตอนของกฎหมาย ทำให้ฝ่ายโจทก์ไม่มีโอกาสที่จะดำเนินการอุทธรณ์หรือฟ้องเรียกร้องเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ ถือว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของฝ่ายโจทก์แล้ว และการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมยื่นฟ้อง ให้จำเลยรื้อถอนทางพิเศษในส่วนที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาท หากไม่สามารถที่จะรื้อถอนได้ ก็ให้จำเลยชำระค่าทดแทนที่ดิน ถือว่าเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนทางพิเศษบนที่ดินของโจทก์ หากไม่สามารถรื้อถอนให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนที่ดิน 2,000,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 444,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินนับแต่วันที่ 16 เมษายน 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 370,000 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า เมื่อความปรากฏว่าที่ดินพิพาทมิได้อยู่ในแนวเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงยานนาวา แขวงทุ่งวัดดอน และแขวงบางโคล่ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2531 ดังนั้น การดำเนินการเวนคืนที่ดินพิพาทโดยกรุงเทพมหานครจึงเป็นการกระทำไปโดยปราศจากอำนาจและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การที่กรุงเทพมหานครโอนที่ดินพิพาทกลับคืนให้โจทก์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2539 เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อที่ดินพิพาทถูกเวนคืนโดย พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ – บางโคล่
พ.ศ. 2535 ซึ่งมีผู้ว่าการของจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืน และตามบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ต้องเวนคืนท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับนี้ยังคงมีชื่อโจทก์กับนายสมชายและนางสาวสุณีย์เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ ทั้งโจทก์กับนายสมชายและนางสาวสุณีย์ได้มอบอำนาจให้ทนายโจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยนำเงินค่าทดแทนที่ดินมาชำระให้แก่โจทก์กับนายสมชายและนางสาวสุณีย์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินการให้มีการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินและจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่ฝ่ายโจทก์ตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ฝ่ายโจทก์ย่อมไม่มีโอกาศที่จะดำเนินการอุทธรณ์หรือฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ถือได้ว่าจำเลยกระทำการโต้แย้งสิทธิของฝ่ายโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ และการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทที่ถูกเวนคืนคนหนึ่งยื่นฟ้องให้จำเลยรื้อถอนทางพิเศษในส่วนบริเวณที่ปลูกสร้างอยู่บนโฉนดเลขที่ 17497 หากไม่สามารถที่จะรื้อถอนได้ ก็ให้จำเลยชำระค่าทดแทนที่ดิน ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 โจทก์จึงไม่ต้องได้รับมอบอำนาจจากนายสมชายและนางสาวสุณีย์ เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทร่วมกับโจทก์เสียก่อน โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่า โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทจำนวน 70,000 บาท ไปจากกรุงเทพมหานครแล้ว และศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งให้คืนเงินค่าทดแทนแก่กรุงเทพมหานคร จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เนื่องจากศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงสองข้อคือ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และจำเลยจะต้องรับผิดจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยมิได้กำหนดประเด็นเรื่องที่โจทก์จะต้องคืนเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทที่รับมาแล้วแก่กรุงเทพมหานครหรือไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ด้วย เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทจึงถือว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้ว และถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน แต่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาเกินหรือนอกเหนือคำฟ้องต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ปรากฏว่าในตอนพิพากษาศาลอุทธรณ์มิได้ระบุไว้ด้วย จึงเห็นสมควรระบุไว้ให้ชัดเจน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.