คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4441/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกจำเลยมาศาล แสดงว่าจำเลยมีภูมิลำเนาที่แน่นอนตามที่ส่งหมายเรียกสำเนาฟ้องและหมายนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกให้จำเลย จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะสั่งให้ส่งหมายนัดโดยวิธีอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79การที่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ครั้งต่อไปให้จำเลยทราบโดยวิธีปิดหมายหน้าศาลแทนการส่งหมายด้วยวิธีธรรมดา จึงเป็นการไม่ชอบยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกถอนคืนการให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ประมาณ 29 ไร่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินคืนแก่โจทก์ เจ้าพนักงานเดินหมายของศาลชั้นต้นนำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยในวันที่ 26มีนาคม 2534 วันที่ 10 เมษายน 2534 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาแต่เป็นเพราะจำเลยมีความรู้น้อย ไม่เข้าใจการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในวันนัดพิจารณาครั้งแรกจำเลยก็มาศาล แต่ศาลเลื่อนการพิจารณาไปจำเลยเข้าใจว่าศาลจะตั้งทนายความเพื่อต่อสู้คดีให้ประกอบกับจำเลยไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านจึงไม่ทราบวันนัดพิจารณาของศาล จำเลยมิได้ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ และเนื้อที่ดินตามฟ้องมากกว่าเนื้อที่ดินคงเหลือตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)จึงไม่อาจบังคับตามคำพิพากษาได้ ขอให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ว่า เหตุที่จำเลยอ้างมิใช่เหตุที่ขาดนัดโดยตรง แต่เป็นการอ้างความเข้าใจและวุฒิการศึกษาของจำเลยถือได้ว่าเป็นคำร้องที่มิได้แสดงถึงเหตุที่ขาดนัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาตามฟ้องอยู่บ้านเลขที่ 43 หมู่ที่ 1 ตำบลเสิงสางอำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา การดำเนินคดีโดยส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับส่งหมายนัดแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ในครั้งแรกให้จำเลยนั้น เจ้าพนักงานศาลไปส่งยังภูมิลำเนาของจำเลยโดยวิธีธรรมดาและโดยวิธีปิดหมายตามลำดับ ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกจำเลยมาศาล แต่ศาลได้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์ ในวันที่ 14 ธันวาคม 2533 เนื่องจากศาลติดพิจารณาคดีอื่น เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งต่อมาจำเลยไม่มาศาลและศาลชั้นต้นเลื่อนคดีไปสืบพยานโจทก์ในวันที่ 11 มีนาคม 2534 เวลา 8.30 นาฬิกา โดยประกาศหน้าศาลให้จำเลยทราบวันนัดแทนการส่งหมายนัดแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ในครั้งนี้ จำเลยไม่มาศาลศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาและทำการพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาในชั้นนี้ว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลยโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาลชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ได้มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับการส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกให้จำเลยทราบ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยตามท้องที่บ้านเลขที่ 43 หมู่ 1 ตำบลเสิงสาง อำเภอเสิงสางจังหวัดนครราชสีมา รวม 2 ครั้งแล้ว แม้จำเลยจะไม่ยื่นคำให้การแต่ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยก็มาศาล แสดงว่าจำเลยมีภูมิลำเนาที่แน่นอนดังกล่าวแล้วข้างต้น จึงไม่ใช่กรณีที่ไม่สามารถส่งหมายนัดให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยได้ กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะสั่งให้ส่งหมายนัดโดยวิธีอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 ได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ครั้งต่อไปให้จำเลยทราบโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาลแทนการส่งหมายด้วยวิธีธรรมดาจึงเป็นการไม่ชอบยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แล้วให้ดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share