แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า แม่ชีสมพรได้ยกเงินที่จำเลยเป็นหนี้เงินกู้ตนซึ่งไม่มีหลักฐานการกู้ยืมทั้งหมดให้แก่โจทก์ แล้วจำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์ไว้เพื่อชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลยย่อมมีผลสมบูรณ์และผูกพันคู่สัญญาตามเจตนาของคู่สัญญา จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ระหว่างแม่ชีสมพรอินทร์มงคล กับโจทก์ชอบหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ จำนวน 70,000 บาทยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี แต่เมื่อถึงกำหนดจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 82,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 70,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมและรับเงินไปจากโจทก์สัญญากู้ทำขึ้นเพื่อเป็นเงื่อนไขในการที่จะใช้เงินที่จำเลยขอยืมจากแม่ชีสมพร อินทร์มงคง โดยแม่ชีสมพรบอกว่าจำเลยว่าจะทำเป็นหนังสือยกเงินจำนวน 70,000 บาท ให้แก่นางจิ๊ด อินทร์มงคล ภรรยาของโจทก์ หลังจากนั้นแม่ชีสมพรได้ถึงแก่กรรมโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมหรือยกทรัพย์สินให้แก่นางจี๊ดหรือโจทก์ โจทก์กับจำเลยไม่มีหนี้ต่อกันจำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมจำเลยเป็นหนี้เงินกู้แม่ชีสมพร ต่อมามีการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้มาเป็นโจทก์ ไม่ได้ทำเป็นหนังสือ การแปลงหนี้ไม่สมบูรณ์จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้แก่โจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 82,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 70,000 บาท แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวว่าการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ระหว่างแม่ชีสมพรอินทร์มงคล กับโจทก์ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า เดิมจำเลยได้กู้ยืมเงินจากแม่ชีสมพรหลายครั้งรวมเป็นเงิน 70,000 บาทแต่ไม่ได้ทำหลักฐานการกู้ยืมไว้ ต่อมาแม่ชีสมพรได้ยกเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยจึงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.1 ให้ไว้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว โดยระบุว่าจำเลยได้กู้เงินของโจทก์เป็นจำนวนเงิน 70,000 บาท และได้รับเงินไปครบถ้วนแล้ว ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลยมีผลสมบูรณ์และผูกพันคู่สัญญาตามเจตนาของคู่สัญญา เมื่อหนี้กู้ยืมถึงกำหนดชำระคืนในวันที่ 30 มกราคม 2522 แต่ปรากฏว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาฟังเป็นยุติได้เช่นนี้ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของจำเลยซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต่อไป
พิพากษายืน