คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 687/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้แก่โจทก์ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน จำเลยมิได้ชำระหนี้ให้ครบตามกำหนดเป็นเวลาถึง 8 เดือน จำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดนัดตามประมวลกฎหมายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง แม้จะปรากฏว่าในเวลาต่อมาจำเลยได้ส่งเงินที่ค้างชำระอยู่นั้นทั้งหมดไปให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับแล้วนำคิดมาฟ้องก็ตาม จะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ได้
บันทึกข้อความท้ายหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยมีว่า “การชำระงวดนั้นข้าพเจ้านายชัย ชิดชอบ ขอรับรองว่าเมื่อทางโรงงานสามารถจำหน่ายหินได้เป็นเงินก้อนหรือทางบริษัทเอื้อวิทยาสามารถให้ทางโรงงาน ศิลาชัยส่งหิน 3 ให้การรถไฟได้ จะส่งชำระแทนจนครบจำนวนที่ค้างหนี้ เพราะถือว่าบริษัทได้มีความกรุณามาก ขอยืนยันรับสภาพหนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ” แล้วจำเลยลงชื่อไว้ท้ายบันทึกดังกล่าวแต่ฝ่ายเดียว เช่นนี้เป็นเพียงคำรับรองยืนยันการชำระหนี้ของจำเลยฝ่ายเดียวต่อโจทก์เท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้สิทธิจำเลยที่จะเลือกชำระหนี้ได้
หนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งบุคคลธรมดาได้ทำขึ้นเป็นใบรับรองหนี้เป็นตราสารที่ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร แม้ไม่ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องในความว่า ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๐๘-๒๕๐๙ จำเลยได้ซื้อสินค้าและได้เช่ารถแทร็กเตอร์ รถเจาะหิน พร้อมพนักงานประจำรถของโจทก์ไปดำเนินการเจาะและระเบิดหินเพื่อประโยชน์ในกิจการโม่ของจำเลยคิดเป็นเงินที่ จำเลยคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๑๓๔,๗๘๐ บาท จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ไว้ โดยจะผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์อย่างน้อยเดือนละ ๑,๐๐๐ บาททุกเดือนไปจนกว่าจะครบ และจะผ่อนชำระครั้งแรกภายในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ และภายในวันที่ ๑๐ ของเดือนถัดไปทุกเดือน ปรากฏตามสำเนาเอกสารหมายเลข ๔ ท้ายฟ้อง แต่จำเลยก็ไม่ผ่อนชำระตามกำหนด ครั้นวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๑๕๑๕ จำเลยได้ส่งดร๊าฟของธนาคารฯ จำนวน ๔,๐๐๐ บาท ไปชำระหนี้โจทก์ประจำเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๕ ต่อจากนั้นจำเลยมิได้ผ่อนชำระแก่โจทก์อีกเลย จำเลยจึงผิด นัดเมื่อรวมจำนวนเงินที่จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์ ๙๔,๗๘๐ บาท ต่อมาในเดือนมกราคม ๒๕๑๖ ทนายโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระแต่จำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยชดใช้หนี้จำนวนเงิน ๙๔,๗๘๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๘ จำเลยได้ตกลงซื้อเครื่องเจาะหินและอุปกรณ์ต่าง ๆ จากบริษัทโจทก์โดยขอผ่อนชำระเป็นงวดตามที่ขายหินได้ จำเลยได้ส่งเงินชำระหนี้โจทก์เรื่อยมา เมื่อตรวจสอบบัญชีกันแล้วปรากฏว่าจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๑๑๔,๗๘๐ บาท จำเลยจึงทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่บริษัทโจทก์ไว้ แต่การชำระเงินนั้นขอผ่อนชำระเป็นงวดตามที่ตกลงไว้แต่เดิม ข้อตกลงนี้ไม่ได้เขียนไว้ในสัญญาต่อมาประมาณกลางปี พ.ศ.๒๕๑๓ บริษัทโจทก์ประมูลขายหินให้แก่การรถไฟได้ จำเลยจึงขอชำระหนี้ค้างเป็นหิน โดยจำเลยจะขอส่งหินให้แก่การรถไฟแทนบริษัทโจทก์เท่าจำนวนคิดเป็นเงินที่ติดค้างบริษัทโจทก์อยู่ บริษัทโจทก์ตกลงและขอให้จำเลยทำหนังสือให้ไว้เป็นหลักฐานตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๔ เกี่ยวกับการส่งหินให้การรถไฟแทนการชำระหนี้นั้น จำเลยเองพร้อมที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง แต่บริษัทโจทก์หาได้ปฏิบัติตามสัญญาแต่ประการใดไม่ บริษัทโจทก์เป็นผู้ผิดสัญญาเอง บริษัทโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาตลอดมาโดยได้ส่งเงินชำระหนี้แก่บริษัทโจทก์เป็นเงิน ๒๘,๐๐๐ บาท คือได้ส่งมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ครบตามจำนวนเดือนทุกประการ กล่าวคือครั้งสุดท้ายจำเลยได้ส่งให้บริษัทโจทก์เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ โดยส่งเข้าบัญชีโจทก์ทางธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด สาขาพระพุทธบาทสระบุรี อันเคยปฏิบัติต่อกันมา ปรากฏตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๑-๒ จำเลยจึงไม่ผิดนัด เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๔ ที่จำเลยทำไว้กับบริษัทโจทก์นั้นเป็นการชำระหนี้ที่จำเลยจะเลือกเอาระยะเวลาใดชำระก็ได้ และจำเลยได้ปฏิบัติการชำระตลอดมา โจทก์เองกลับไม่ปฏิบัติตามสัญญาจำเลยถือว่าโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต
ชั้นชี้สองสถาน จำเลยแถลงรับว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้อง แต่จำเลยได้ส่งตั๋วแลกเงินจำนวน ๘,๐๐๐ บาทโดยทางไปรษณีย์ตอบรับไปชำระหนี้โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ อันเป็นการชำระหนี้ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๕ ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมายเลข ๔ ท้ายฟ้อง แต่เจ้าหน้าที่ของบริษัทโจทก์ไม่ยอมรับก่อนฟ้องคดีนี้ ทนายโจทก์ได้มีหนังสือเตือนจำเลยแล้วแต่จำเลยไม่ผิดนัด เพราะจำเลยมีสิทธิเลือกชำระหนี้ตามหมายเหตุในเอกสารรับสภาพหนี้หมายเลข ๔ ท้ายฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน ๙๔,๗๘๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความ ๑,๐๐๐ บาทแทนโจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าบันทึกข้อความท้ายหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยที่ว่า “การชำระงวดนั้นข้าพเจ้านายชัย ชิดชอบ ขอรับรองว่าเมื่อทางโรงงานสามารถจำหน่ายหินได้เป็นเงินก้อน หรือทางบริษัทเอื้อวิทยาสามารถให้ทางโรงงานศิลาชัยส่งหิน ๓ ให้การรถไฟได้ จะส่งชำระแทนจนครบจำนวนที่ค้างหนี้ เพราะถือว่าบริษัทได้มีความกรุณามาก ขอยืนยันรับสภาพหนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ” นั้น เห็นว่าเป็นคำรับรองยืนยันการชำระหนี้ของจำเลยฝ่ายเดียวต่อโจทก์เท่านั้น หามีข้อความตอนใดที่โจทก์ให้สิทธิจำเลยที่จะเลือกชำระหนี้ได้ไม่ ฉะนั้นจำเลยจึงเถียงไม่ขึ้นว่าตนมีสิทธิที่เลือกชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้
ที่จำเลยฎีกาข้อสองว่าโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตในการฟ้องร้องคดีนี้โดยที่ไม่ยอมรับการชำระหนี้จำนวนเงิน ๘,๐๐๐ บาทของจำเลย นั้นพิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าจำเลยได้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตรงตามเวลาที่กำหนดในหนังสือรับสภาพหนี้ เริ่มแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๑๕ ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ รวม ๘ เดือน และในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ นั้นเอง จำเลยจึงได้ส่งเงินจำนวน ๘,๐๐๐ บาทไปชำระให้บริษัทโจทก์ ฉะนั้นการที่บริษัทโจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับการชำระหนี้จำนวน ๘,๐๐๐ บาทแล้วนำคดีมาฟ้องนั้นจะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ได้ เพราะจำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดโจทก์จึงมีสิทธินำคดีนี้มาฟ้อง
ตามประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้เฉพาะตราสารใบรับรองหนี้ที่บริษัท สมาคม คณะบุคคลหรือองค์การใด ๆ เท่านั้นเป็นผู้ทำจึงต้องปิดอากรแสตมป์ ส่วนหนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้องนี้เป็นใบรับรองหนี้ที่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาได้ทำขึ้น จึงเป็นตราสารที่ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร และรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ไม่ต้องห้าม
ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ
พิพากษายืน

Share