คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1995/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันลักกำไลข้อมือเพชร แหวนเพชร 2 วง จี้เพชร และสร้อยคอทองคำ หรือรับของโจรแหวนเพชร โดยจำเลยนำแหวนเพชร 1 วงที่ถูกลักนั้นไปขาย ฟ้องดังนี้มิได้ยืนยันว่าจำเลยกระทำผิดทั้งสองฐาน แต่บรรยายข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้ศาลวินิจฉัยลงโทษจำเลยฐานใดฐานหนึ่งเท่าที่ทางพิจารณาได้ความ ฟ้องโจทก์ไม่ชัดกันแต่อย่างใด
เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจาณาปรากฏว่าทรัพย์ที่จำเลยเอาไปขายเป็นกำไลข้อมือเพชร หาใช่แหวนเพชรดังที่กล่าวในฟ้องไม่ ก็เป็นเรื่องโจทก์ระบุตัวทรัพย์ผิดพลาดเพราะโจทก์ได้ระบุด้วยว่าของกลางมีราคาเท่าใด ซึ่งเป็นราคาของกำไลข้อมือเพชร และว่าเป็นทรัพย์ชิ้นหนึ่งในบรรดาทรัพย์ที่หายไป ข้อแตกต่างในเรื่องตัวทรัพย์เพียงเท่านี้ยังไม่พอจะถือว่าเป็นข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ และเมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้
(วรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2518)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายลักกำไลข้อมือเพชร ๒ เส้น ราคา ๓๖,๐๐๐ บาท แหวนเพชร ๒ วง วงหนึ่งราคา ๕๕,๐๐๐ บาท อีกวงหนึ่งราคา ๕,๕๐๐ บาท จี้เพชร ๑ อัน ราคา ๖,๕๐๐ บาท และสร้อยคอทองคำ ๑ เส้น ราคา ๔,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายไป ต่อมาจำเลยได้นำแหวนเพชร ๑ วง ราคา ๑๘,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ชิ้นหนึ่งในจำนวนทรัพย์ที่ถูกคนร้ายลักไปดังกล่าวไปขายให้แก่ผู้มีชื่อ พนักงานสอบสวนได้อายัดไว้เป็นของกลาง ทั้งนี้โดยจำเลยกับพวกร่วมกันลักทรัพย์ทั้งหมดไป หรือมิฉะนั้นจำเลยก็รับของโจรทรัพย์ของกลางไว้ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕,๓๕๗,๘๓ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน ๘๙,๐๐๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยให้การปฏิเสธ
นางดวงเดือน สุทธิบุตร ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยช่วยจำหน่ายสร้อยข้อมือเพชร ๑ เส้นของเจ้าทรัพย์ที่ถูกคนร้ายลักไปรู้แล้วว่าเป็นของร้ายได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจับแหวนเพชรได้ ๑ วง แต่ตามทางพิจารณาได้ความว่าจับสร้อยข้อมือเพชรได้ ๑ เส้น เป็นข้อแตกต่างที่ไม่เป็นสาระคัญ ทั้งจำเลยไม่ได้หลงข้อต่อสู้ ฟ้องโจทก์ไม่เสียไป พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ ให้จำคุก ๒ ปี จำเลยรับสร้อยข้อมือเพชรเส้นเดียวซึ่งเจ้าทรัพย์ได้รับคืนไปแล้ว จึงให้ยกคำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อที่ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จะลงโทษจำเลยได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อแรกว่า โจทก์ฟ้องว่ามีคนร้ายลักเครื่องเพชรของโจทก์ร่วมไปหลายอย่าง ต่อมาก็ได้เครื่องเพชรอย่างหนึ่งที่จำเลยนำไปจำหน่ายเป็นของกลาง เป็นการกล่าวหาว่าจำเลยเป็นผู้ลักเครื่องเพชรทั้งหมดที่หายไป หรือมิฉะนั้นก็เป็นผู้รับของโจรเครื่องเพชรของกลาง ฟ้องดังนี้มิได้ยืนยันว่าจำเลยกระทำผิดทั้งสองฐาน แต่บรรยายข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้ศาลวินิจฉัยลงโทษจำเลยฐานใดฐานหนึ่งเท่าที่ทางพิจารณาได้ความ ฟ้องโจทก์ไม่ขัดกันแต่อย่างใด
ในปัญหาข้อหลัง ศาลฎีกาได้พิจารณาปัญหาข้อนี้โดยที่ประชุมใหญ่แล้วโจทก์ฟ้องว่าเครื่องเพชรร่วมหายไปหลายอย่างรวมทั้งแหวนเพชรและกำไลข้อมือเพชร ของชิ้นใดมีราคาเท่าใดก็ได้ระบุไว้แล้ว โดยเฉพาะแหวนเพชรกับกำไลข้อมือเพชรนั้นมีราคาแตกต่างกันมาก ส่วนเครื่องเพชรที่จำเลยนำไปขายนั้น ถึงแม้โจทก์จะระบุตัวทรัพย์ว่าเป็นแหวน แต่ก็ระบุไว้ด้วยว่าของชิ้นนี้มีราคา ๑๘,๐๐๐ บาท อันเป็นราคาของกำไลข้อมือเพชร และว่าเป็นทรัพย์ชิ้นหนึ่งในบรรดาทรัพย์ที่หายไป เห็นได้ว่าเป็นเรื่องโจทก์ระบุตัวทรัพย์ผิดพลาด แทนที่จะระบุว่ากำไลข้อมือเพชร กลับระบุว่าแหวนเพชร ข้อแตกต่างในเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอจะถือว่าเป็นข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ และเมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้
พิพากษายืน
(อุดม ทันด่วน พิชัย รชตะนันทน์ ชุ่ม สุนทรชัย)

Share