แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ ง. จัดการสินสมรสโดยยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสี่โดยเสน่หาและมิใช่การให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ง. ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(เดิม)เมื่อไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ การให้ดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์ย่อมฟ้องเรียกที่ดินพิพาทอันเป็นสินสมรสส่วนของตนคืนได้ โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ง. ตั้งแต่พ.ศ. 2465 ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5พ.ศ. 2477 ซึ่งตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 มาตรา 4 บัญญัติว่า บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่กระทบกระเทือนถึงบทบัญญัติมาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 ดังนั้นการแบ่งสินสมรสของโจทก์กับ ง. จึงต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 หาใช่แบ่งคนละส่วนเท่ากันตามมาตรา 1533 ไม่ปรากฎว่าโจทก์กับ ง. ต่างไม่มีสินเดิมด้วยกัน เมื่อ ง. ถึงแก่ความตาย สินสมรสต้องแบ่งเป็นสามส่วน เป็นของ ง. สองส่วน อีกส่วนหนึ่งเป็นของโจทก์ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งนั้นเป็นการพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งสินสมรสมากกว่าส่วนที่โจทก์ควรจะได้รับตามกฎหมาย เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ฎีกาในปัญหานี้ศาลฎีกาก็เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายง้อ แซ่ซิ้ม ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีที่ดินสมรสแปลงหนึ่งคือโฉนดที่ดินเลขที่ 8606 ตำบลบางเกลือ อำเภอบางประกง จังหวัดฉะเขิงเทรา เนื้อที่164 ไร่เศษ มีชื่อนายง้อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2525 นายง้อได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสี่โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน โดยโจทก์ไม่ทราบและไม่ยินยอม ในวันที่ 12ตุลาคม 2527 นายง้อ ถึงแก่กรรม โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกได้รวบรวมทรัพย์สินเพื่อทำการจัดการมรดก เมื่อวันที่ 9มกราคม 2528 ได้ทราบว่านายง้อโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสี่แล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าธรรมเนียมและค่าภาษีการโอนหากไม่สามารถโอนคืนให้แก่โจทก์ได้ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,250,000 บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายง้อ แซ่ซิ้ม นายง้อได้ทำนิติกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสี่ เนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนายง้อกับโจทก์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1เป็นการยกให้ตามสมควรในทางศีลธรรม โดยโจทก์ได้ยินยอมแล้วปัจจุบันที่ดินพิพาทมีราคาไม่เกิน 900,000 บาท โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่แบ่งทรัพย์ให้แก่โจทก์โดยมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างนายง้อกับจำเลยทั้งสี่เสียก่อนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 8606 ตำบลบางเกลืออำเภอบางประกง จังหวัดฉะเชิงเทราคืนให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งพร้อมกับชำระค่าใช้จ่ายและค่าภาษีในการโอนด้วย มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่หากไม่สามารถทำการโอนที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ได้ ให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,250,000 บาท
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า นายง้อ แซ่ซิ้ม กับโจทก์เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายง้อและโจทก์แต่มีชื่อนายง้อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพียงผู้เดียว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2525 นายง้อได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสี่โดยเสน่หา ครั้นวันที่ 12 ตุลาคม 2527นายง้อถึงแก่กรรม ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2528 โจทก์รู้เรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวจึงมาฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีนี้ คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่านายง้อจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยทั้งสี่เฉพาะที่ดินส่วนของโจทก์นั้น โจทก์ได้ให้ความยินยอมแล้วหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายง้อยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสี่โดยไม่ได้ให้ความยินยอมซึ่งการที่นายง้อจัดการสินสมรสโดยยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสี่โดยเสน่หาและมิใช่การให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีเช่นนี้ ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1473(เดิม) เมื่อไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ การให้ดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์ย่อมฟ้องเรียกที่ดินพิพาทอันเป็นสินสมรสส่วนของตนคืนได้ แต่โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายง้อตั้งแต่ พ.ศ. 2465 ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2477 ซึ่งตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519มาตรา 4 บัญญัติว่า บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่กระทบกระเทือนถึงบทบัญญัติมาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์พุทธศักราช 2477 ดังนั้น การแบ่งสินสมรสของโจทก์กับนายง้อจึงต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 หาใช่แบ่งคนละส่วนเท่ากันตามมาตรา 1533 ไม่ ปรากฎว่าโจทก์กับนายง้อต่างไม่มีสินเดิมด้วยกัน เมื่อนายง้อถึงแก่ความตายสินสมรสต้องแบ่งเป็นสามส่วนเป็นของนายง้อสองส่วน อีกส่วนหนึ่งเป็นของโจทก์ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งนั้นเป็นการพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งในสินสมรสมากกว่าส่วนที่โจทก์ควรจะได้รับตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความไม่ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8606 ตำบลบางเกลือ อำเภอบางประกงจังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วน พร้อมกับชำระค่าใช้จ่ายและค่าภาษีในการโอน หากจำเลยทั้งสี่ไม่ไปทำการโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่หากไม่สามารถทำการโอนได้ ให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้ราคาเป็นเงิน833,333.33 บาท