คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4403/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 (2) หมายถึงเครื่องมือเครื่องใช้ที่โดยสภาพเป็นสิ่งเฉพาะสำหรับใช้ในการประกอบอาชีพของคู่สมรสฝ่ายนั้นเท่านั้น รถยนต์ที่โจทก์จำเลยซื้อมาระหว่างสมรสเพื่อความสะดวกในการรับส่งบุตรไปโรงเรียน ภายหลังจำเลยนำมาใช้รับจ้างส่งนักเรียน แสดงให้เห็นว่ารถยนต์เป็นทรัพย์ที่มิได้มุ่งหมายใช้ในการประกอบอาชีพรับจ้างแต่เพียงประการเดียว รถยนต์จึงเป็นสินสมรสมิใช่สินส่วนตัวของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ 18872 ตำบลไสหมาก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง และให้จำเลยจดทะเบียนโอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 0137 นครศรีธรรมราช แก่โจทก์ตามสิทธิ หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้นำรถยนต์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง กับให้จำเลยชำระเงิน135,490 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอบังคับให้โจทก์แบ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ 9025 ตำบลไสหมาก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่ง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้โจทก์ชำระเงินซึ่งได้จากการขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 8337, 17505 และ 84043 ให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่ง เป็นเงิน 223,887.50 บาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 300,000 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ 18872 ตำบลไสหมาก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง กับให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในคู่มือจดทะเบียนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 0137 หรือ ม 3179 นครศรีธรรมราช หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้นำรถยนต์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากไม่อาจดำเนินการได้ให้จำเลยใช้ราคารถยนต์แทน 25,000 บาท และให้จำเลยชำระหนี้ระหว่างสมรส 135,493.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 สิงหาคม 2555)จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้โจทก์แบ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ 9025 ตำบลไสหมาก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่ง หากโจทก์และจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่อาจดำเนินการได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง คำขออื่นของจำเลยนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งในส่วนฟ้องเดิมและฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เคยเป็นภริยาของจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2536 มีบุตรด้วยกัน 3 คน ก่อนฟ้องคดีนี้ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน ในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาโจทก์และจำเลยมีทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส คือ ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 18872 ตำบลไสหมาก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามโฉนดเลขที่17505 ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของซึ่งต่อมาภายหลังโจทก์ได้จดทะเบียนขายฝากให้แก่ผู้อื่นและพ้นกำหนดไถ่ถอนแล้ว ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 84043 ตำบลปากนคร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ซึ่งต่อมาภายหลังโจทก์ได้จดทะเบียนขายให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 8337 ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของซึ่งต่อมาภายหลังโจทก์ได้จดทะเบียนขายฝากให้แก่ผู้อื่นและพ้นกำหนดไถ่ถอนแล้ว ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 9025 ตำบลไสหมาก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของซึ่งต่อมาภายหลังโจทก์ได้จดทะเบียนขายให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว และรถยนต์หมายเลขทะเบียน 0137 หรือ ม 3179 นครศรีธรรมราช ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ยังมีหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างสมรสเป็นหนี้เงินกู้ที่ยังค้างชำระธนาคารเอเซีย จำกัด (มหาชน) จำนวน 270,987 บาท โจทก์และจำเลยยังไม่ได้ตกลงแบ่งทรัพย์สินกัน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า รถยนต์ตู้ หมายเลขทะเบียน 0137 หรือ ม-3179 นครศรีธรรมราช เป็นสินสมรสหรือไม่ เห็นว่า เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 (2) นั้น ต้องหมายถึงเครื่องมือเครื่องใช้ที่โดยสภาพเป็นสิ่งเฉพาะสำหรับใช้ในการทำงานในการประกอบอาชีพของคู่สมรสฝ่ายนั้นเท่านั้น แต่รถยนต์เป็นทรัพย์สินที่มิได้ใช้ในการประกอบอาชีพของจำเลยโดยแท้ แต่เป็นทรัพย์ที่มีราคาสูงที่โจทก์จำเลยร่วมกันทำมาหาได้มาเพื่อใช้ประโยชน์และเป็นทรัพย์สินที่สร้างความปึกแผ่นและความมั่นคงในครอบครัวในอีกสถานะหนึ่งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ความว่าเป็นทรัพย์ที่โจทก์จำเลยซื้อมาในระหว่างสมรสเพื่อความสะดวกในการรับส่งบุตรไปโรงเรียน ภายหลังจำเลยจึงนำมาใช้รับจ้างรับส่งนักเรียน อันแสดงให้เห็นว่า รถยนต์เป็นทรัพย์ที่โจทก์จำเลยมิได้มุ่งใช้ในการประกอบอาชีพรับจ้างแต่เพียงประการดียว รถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสมิใช่สินส่วนตัวของจำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้ของธนาคารเอเซีย จำกัด (มหาชน) เป็นเงิน 135,493.50 บาท หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ยังไม่แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินให้แก่จำเลย ไม่เป็นเหตุที่จำเลยจะปฏิเสธไม่รับผิดชอบหนี้ดังกล่าว ทั้งได้ความว่าจำเลยฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 17505 ระหว่างโจทก์กับบุคคลภายนอกแล้ว และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวและให้จำเลยได้รับส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 226/2550 ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านว่า จำเลยได้รับชำระเงินตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว และไม่ติดใจบังคับคดี โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางนำสืบว่าจำเลยนำเงินที่ได้รับตามคำพิพากษามาหักหนี้ที่โจทก์ไปชำระหนี้ธนาคารเอเซียซึ่งเป็นหนี้ร่วมแทนจำเลยซึ่งจำเลยต้องรับผิดด้วยกันตามส่วนเท่ากัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1535 ที่ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยร่วมรับผิดและชำระเงิน 135,493.50 บาท แก่โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า การที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 8337, 17505 และ 84043 เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ เห็นว่า ในคดีก่อนจำเลยฟ้องขอเพิกถอนการกระทำนิติกรรมโอนขายสินสมรสของโจทก์กับบุคคลภายนอก โดยจำเลยไม่ได้ให้ความยินยอม เป็นการฟ้องเพื่อให้สินสมรสกลับคืนสู่สภาพเดิมไม่เป็นการขอแบ่งสินสมรสเพราะมิได้ฟ้องขอหย่าด้วย ศาลมิอาจให้แบ่งสินสมรสในขณะที่ยังมีสถานะเป็นสามีภริยาอยู่ได้ ส่วนคดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสเพราะโจทก์จำเลยหย่ากันแล้ว จึงเป็นคนละประเด็นกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัย แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 17505 จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านว่า คดีที่จำเลยฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 17505 จำเลยได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้วและไม่ติดใจบังคับอีก จึงไม่มีเงินที่ถือเสมือนว่า เป็นทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรสที่จำเลยจะขอแบ่งได้อีก ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 84043 ได้ความจากคำพิพากษาถึงที่สุดที่จำเลยอ้างเองว่า บุคคลภายนอกที่ทำนิติกรรมกับโจทก์สุจริตจึงให้โจทก์ใช้ราคาแทนการโอนกรรมสิทธิ์คืนในฐานะสินสมรสด้วย ซึ่งเท่ากับที่ดินดังกล่าวไม่มีสภาพเป็นสินสมรสแล้ว จำเลยชอบที่บังคับคดีตามสิทธิความเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย ไม่อาจจะบังคับให้แบ่งได้อีก สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 8337 จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์นำไปขายฝากแก่บุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยในราคา 265,000 บาท และพ้นกำหนดการไถ่ถอนไปแล้ว ซึ่งโจทก์มิได้โต้แย้งเมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไม่เพิกถอนนิติกรรมการขายฝาก ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2551 แล้ว จึงต้องถือเสมือนว่าเงินที่โจทก์ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 โจทก์จึงต้องแบ่งให้จำเลยกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 132,500 บาท ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์แบ่งเงิน 132,500 บาท แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share