คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาอ้างว่า คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าจำเลยนี้เล่นการพนันป๊อกกันในลักษณะใดอย่างไรนั้นเป็นข้ออ้างเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า ผู้ใดเป็นเจ้ามือในการเล่นพนันป๊อกแต่ได้บรรยายมาว่าจำเลยทั้ง 3 บังอาจร่วมกันเล่นการพนันป๊อก (21 แต้ม อันเป็นการพนันประเภทห้ามขาดตามบัญชี ก. อันดับ 11 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน 2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยมิได้มีพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้เล่นได้ ดังนี้ ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
จำเลยกระทำผิดครั้งหลังมีโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ ต้องวางโทษทั้งจำทั้งปรับตามพระราชบัญญัติการพนัน 2478 มาตรา 14 ทวิ (2) แต่ศาลชั้นต้นวางโทษปรับทวีคูณ ปรับ 600 บาทจำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์เช่นนี้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 2 เดือน ปรับ 600 บาทแต่ยกโทษจำคุกเสียก็เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันเล่นการพนันป๊อก (21 แต้ม)อันเป็นประเภทห้ามขาดตามบัญชี ก. อันดับ 11 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน 2478 ขอให้ลงโทษขอเพิ่มโทษเฉพาะจำเลยที่ 2

จำเลยทั้ง 3 ปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเคยต้องคำพิพากษาในความผิดฐานเล่นการพนันมาแล้ว พ้นโทษไปยังไม่ครบกำหนด 3 ปี

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ผิดพระราชบัญญัติการพนัน 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12 จำเลยที่ 2 ผิดพระราชบัญญัติการพนัน 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12 พระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 3) 2485 มาตรา 3 ปรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 300 บาทปรับจำเลยที่ 2 ทวีคูณ 600 บาท

จำเลยทั้ง 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 2 กระทำความผิดครั้งหลังมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับต้องวางโทษจำเลยที่ 2 ทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา 14 ทวิ (2) ไม่ใช่วางโทษปรับทวีคูณดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น พิพากษาแก้ว่า จำเลยทั้ง 3 ผิดพระราชบัญญัติการพนัน 2478 มาตรา 12 แก้ไข (ฉบับที่ 7) 2504 มาตรา 3 เฉพาะการวางโทษจำเลยที่ 2ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กำหนด 2 เดือน และปรับ 600 บาท โทษจำคุกให้ยกเสียตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55 คงปรับสถานเดียว นอกนั้นยืน

จำเลยทั้ง 3 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในการพิจารณากับในฟ้องไม่ต่างกันเลยและข้อที่จำเลยอ้างว่า คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าจำเลยนี้เล่นการพนันป๊อกกันในลักษณะใดอย่างไร นั้นเป็นข้อกล่าวอ้างเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจเป็นปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาไม่ได้

และเห็นว่า แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่า ผู้ใดเป็นเจ้ามือในการเล่นพนันป๊อกก็ตาม แต่โจทก์ได้บรรยายมาในฟ้องแล้วว่า จำเลยทั้ง 3 ได้บังอาจร่วมกันเล่นการพนันป๊อก (21 แต้ม) อันเป็นการพนันประเภทห้ามขาดตามบัญชี ก. อันดับ 11 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยมิได้มีพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้เล่นได้ถือได้ว่าฟ้องของโจทก์มีการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว โจทก์ไม่ต้องบรรยายด้วยว่า ผู้ใดเป็นเจ้ามือในการเล่นพนันป๊อก ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 กระทำผิดครั้งหลังมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ต้องวางโทษจำเลยที่ 2 ทั้งจำทั้งปรับตามพระราชบัญญัติการพนัน 2478 มาตรา 14 ทวิ (2) ไม่ใช่วางโทษปรับทวีคูณดังคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้วางโทษจำเลยที่ 2 เป็นจำคุก 2 เดือน และปรับ 600 บาท แม้จะยกโทษจำคุกเสียก็เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ทำนองนั้นพิพากษาแก้เฉพาะโทษจำเลยที่ 2 คงปรับ 600 บาท นอกนั้นยืน

Share