คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4399-4400/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คนร้ายได้เคลื่อนย้ายกล่องกระดาษจากบริเวณที่ผู้เสียหายเก็บไว้ในโกดังขึ้นรถบรรทุกหกล้อ แต่รถบรรทุกหกล้อยังอยู่ภายในโรงงานของผู้เสียหายซึ่งมีพนักงานรักษาความปลอดภัยดูแลอยู่ด้วย ทั้งพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ยินยอมให้ บ. นำกล่องกระดาษออกไป จึงถือว่าการแย่งกรรมสิทธิ์ในกล่องกระดาษของ บ. ยังไม่สมบูรณ์ ขั้นตอนการลักทรัพย์ของ บ. ยังกระทำไม่แล้วเสร็จ การนำรถบรรทุกดังกล่าวออกไปจากโรงงานผู้เสียหายเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องเกี่ยวพันกับการลักทรัพย์ พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองเข้าไปพูดกับพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้เสียหายบริเวณประตูทางออกเพื่อให้ บ. นำรถบรรทุกกล่องกระดาษของผู้เสียหาย ถือเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในขณะที่ บ. ลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แต่เมื่อ บ. ไม่สามารถนำกล่องกระดาษออกไปได้ การกระทำของ บ. จึงเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดฐานพยายามลักทรัพย์

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 93,. 335, 336 ทวิ เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งและนับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 428/2548 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 86 จำคุกคนละ 2 ปี ไม่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 428/2548 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวไม่ปรากฏว่าศาลมีคำพิพากษาแล้วหรือไม่ จึงให้ยกคำขอส่วนนี้ ให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนนายบีในการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ โจทก์มีนายชาติ และนายภูไทย์ พนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งทำงานดูแลรักษาความปลอดภัยภายในโรงงานของผู้เสียหายในขณะเกิดเหตุเบิกความสอดคล้องทำนองเดียวกันว่า ขณะที่นายบีขับรถบรรทุกหกล้อบรรทุกกล่องกระดาษทั้งเก่าและใหม่ของผู้เสียหายผ่านมาทางประตูป้อมยามเพื่อจะออกจากโรงงานของผู้เสียหาย พยานโจทก์ทั้งสองตรวจพบและนายบีไม่มีใบอนุญาตให้นำสิ่งของหรือสินค้าออกจากโรงงานของผู้เสียหายจึงกักรถไว้ จำเลยทั้งสองมาที่ป้อมยามแล้วบอกพยานโจทก์ทั้งสองว่ากระดาษเป็นของที่ไม่ใช้แล้วให้นายบีนำออกไปได้ ส่วนเอกสารใบอนุญาตให้นำสิ่งของผ่านออกจากบริษัทจะนำมาให้ภายหลัง และโจทก์ยังมีนางจริยา ขณะเกิดเหตุทำงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบุคคลมีหน้าที่ดูแลฝ่ายบุคคล ธุรการและความปลอดภัยของผู้เสียหายเบิกความว่า ครั้งแรกนายภูไทย์โทรศัพท์แจ้งบริษัทอินเตอร์การ์ด กรุ๊ฟ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ผู้เสียหายจ้างมาดูแลรักษาความปลอดภัย จากนั้นนายกฤตซึ่งเป็นพนักงานบริษัทอินเตอร์การ์ด กรุ๊ฟ จำกัด โทรศัพท์มาแจ้งพยาน พยานจึงแจ้งให้พนักงานรักษาความปลอดภัยนำสินค้าไปวางไว้ที่เดิมและให้ปล่อยรถยนต์ของบริษัทยูนิคแพ็คเกจจิ้ง (1993) จำกัด ออกไปก่อน รวมทั้งคนขับรถด้วย นายกฤตได้โทรศัพท์คุยกับพยาน และจำเลยที่ 2 ขอพูดคุยกับพยานว่ากล่องดังกล่าวเป็นของเสียของใช้ไม่ได้ บริษัทไม่เอาแล้วให้รถขนออกไปได้ พยานแจ้งว่าหากจะขนของออกจากบริษัทต้องมีใบผ่านแม้ว่าสินค้าที่ไม่ใช้แล้วเนื่องจากขายได้ ขณะนั้นพยานทราบจากรายงานของพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้วว่ามีกล่องกระดาษใหม่อยู่ภายในรถ พยานโจทก์ทั้งสามปาก ทั้งนายชาติ นายภูไทย์ นางจริยาเบิกความถึงพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองสอดคล้องตรงกันเป็นไปตามลำดับขั้นตอน จำเลยทั้งสองทำงานเป็นลูกจ้างของผู้เสียหาย ซึ่งพยานโจทก์แต่ละปากเบิกความว่ารู้จักและเคยเห็นจำเลยทั้งสองทำงานอยู่ที่บริษัทผู้เสียหาย อีกทั้งไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกัน ได้ความจากคำเบิกความพยานโจทก์ทั้งสามปากตรงกันว่า หลังจากเกิดเหตุจำเลยทั้งสองไม่ได้มาทำงานที่โรงงานของผู้เสียหายอีก ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยที่ 2 ก็นำสืบว่า วันรุ่งขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุนางจริยาโทรศัพท์มาสอบถามเรื่องการที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ไปทำงาน และบอกจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหายทำให้จำเลยที่ 2 เกิดความกลัว เห็นว่า จำเลยทั้งสองขาดงานหรือไม่ไปทำงานในวันรุ่งขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุ ทั้งที่ผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้นางจริยาไปร้องทุกข์ดำเนินคดี เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2547 หลังเกิดเหตุแล้ว 2 วัน พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงส่อพิรุธแสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองมีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดดังกล่าว พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองที่จำเลยที่ 1 นำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ ส่วนจำเลยที่ 2 นำสืบทำนองว่าไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นกับการกระทำความผิดของนายบีจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองเข้าไปพูดกับนายชาติและนายภูไทย์ซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้เสียหายบริเวณประตูทางออกเพื่อให้นายบีนำรถซึ่งบรรทุกกล่องกระดาษของผู้เสียหายออกไปจากบริษัทผู้เสียหาย แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าคนร้ายได้เคลื่อนย้ายกล่องกระดาษจากบริเวณที่ผู้เสียหายเก็บไว้ในโกดังขึ้นรถบรรทุกหกล้อ แต่รถบรรทุกหกล้อยังคงอยู่ภายในโรงงานของผู้เสียหายซึ่งมีพนักงานรักษาความปลอดภัยดูแลอยู่ด้วย ทั้งพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ยินยอมให้นายบีนำกล่องกระดาษออกไป จึงถือว่าการแย่งกรรมสิทธิ์ในกล่องกระดาษของนายบียังไม่สมบูรณ์ ขั้นตอนการลักทรัพย์ของนายบียังกระทำการไม่แล้วเสร็จ การนำรถบรรทุกหกล้อบรรทุกกล่องกระดาษออกจากบริษัทของผู้เสียหายเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องเกี่ยวพันกับการลักทรัพย์ ที่จำเลยทั้งสองพูดกับนายภูไทย์และนายชาติเพื่อให้นำรถบรรทุกหกล้อออกไปจากโรงงานผู้เสียหายจึงถือเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในขณะที่นายบีลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แต่เมื่อได้ความว่านายบีไม่สามารถนำกล่องกระดาษออกไปได้ การกระทำของนายบีจึงเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์ระบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดฐานลักทรัพย์กับนายบี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เป็นการพิพากษาที่มิได้กล่าวไว้ในคำฟ้องนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกับนายบีในลักทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้สนับสนุนนายบีในการกระทำความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ก็ไม่ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ และมิใช่ข้อแตกต่างดังกล่าวที่เป็นข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธโดยไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าได้หลงต่อสู้ ศาลลงโทษจำเลยทั้งสองตามที่พิจารณาได้ความได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่รูปคดี
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 80, 86 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share