แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับฎีกาข้อ 2 ส่วนฎีกาข้อ 3 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับจำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 3 เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า การรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อ 3 ของจำเลยไว้วินิจฉัยต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 179)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. 2510 มาตรา 4,9 อัฏฐ,105,132 ทวิ,148,154 ฯลฯการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรม ลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฝ่าฝืนประกาศผู้อำนวยการเขตควบคุมแร่ประจำเขตจังหวัดภูเก็ต พังงา ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2528)ปรับ 10,000 บาท ฐานมีแร่ดีบุกไว้ในความครอบครองเกินกว่า 2 กิโลกรัมโดยมิได้รับการยกเว้นตามกฎหมายในเขตควบคุมแร่ซึ่งเป็นแร่ที่มิได้มาจากการทำเหมืองในเขตเหมืองแร่ที่เก็บแร่นั้นไว้ปรับ 10,190,000 บาท รวม 2 กรรม ปรับ 10,200,000 บาท คำให้การชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และคำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลงโทษให้หนึ่งในสาม คงปรับ6,800,000 บาท ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 148 วรรคสอง ที่ได้แก้ไขแล้ว นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 175)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 179)
คำสั่ง
ฎีกาข้อ 3 ของจำเลยเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาข้อ 3 ของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง