คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินจำเลยเป็นที่ดินมีโฉนดแปลงใหญ่ แล้วจำเลยแบ่งขายเป็นแปลงเล็ก ๆ โดยเว้นที่ดินตรงกลางไว้เป็นถนนพิพาท พวกที่ซื้อที่ดินจากจำเลยเท่านั้นที่ใช้ถนนพิพาท ส่วนประชาชนทั่วไปไม่ได้ร่วมใช้ถนนพิพาทด้วยเพราะเป็นทางตัน แม้ขณะเมื่อซื้อที่ดินจำเลยบอกว่าให้ถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้อุทิศโดยตรงหรือโดยปริยายให้ถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะแต่โจทก์และผู้ซื้อที่ดินได้ใช้ถนนพิพาทด้วยการใช้สัญจรไปมาและนำรถยนต์เข้าออกโดยไม่ปรากฏว่าต้องขออนุญาตจากจำเลยและโจทก์ได้ใช้ติดต่อกันมาเกิน 10 ปีแล้วถนนพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
การที่จำเลยปักเสาสูงจากพื้นดิน 1 เมตรเศษ บนถนนพิพาทเป็นเหตุให้รถยนต์ส่วนตัวของโจทก์และของผู้อื่นแล่นสวนกันไม่ได้สะดวกเหมือนเมื่อครั้งยังไม่มีการปักเสา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการทำประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกโจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยถอนเสาดังกล่าวออกไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยซึ่งแบ่งที่ดินจากโฉนดเดิมออกเป็นแปลง ๆ ขายให้แก่โจทก์และผู้ซื้อปลูกบ้านรวม 40-51 หลังจำเลยได้เว้นที่ดินตรงกลางไว้เป็นถนนเพื่อให้ผู้ซื้อใช้เป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะกว้างประมาณ 5 เมตร ทางดังกล่าวจึงเป็นทางสาธารณะหรือภารจำยอม จำเลยเอาเสาไม้แก่สี่เหลี่ยมกว้างประมาณ 5 นิ้วฟุต ปักกั้นทางพิพาททำให้โจทก์และผู้อื่นที่ต้องใช้รถยนต์ได้รับความเดือดร้อน ขอให้ศาลพิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือเป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยรื้อถอนเสาไม้ที่ปักกั้นออกไป ถ้าไม่ถอนให้โจทก์เป็นผู้ถอนโดยจำเลยออกค่าใช้จ่ายให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารปิดกั้น

จำเลยให้การว่า ทางพิพาทเป็นถนนส่วนบุคคลมิใช่ถนนสาธารณะหรือทางภารจำยอม จำเลยเพียงแต่ให้ผู้ซื้อที่ดินจากจำเลยใช้เดินและนำรถยนต์ผ่านได้ จำเลยปักเสาไม้เพื่อมิให้รถบรรทุก 10 ล้อเข้าไป เพราะทำให้ถนนชำรุดรถยนต์โจทก์ยังเลี้ยวเข้าถนนได้สะดวก ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ถนนพิพาทเป็นทางภารจำยอมพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเสาไม้ที่ปิดกั้นถนนพิพาทออกไป หากจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทนจำเลย

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมจำเลยมีที่ดินมีโฉนดแปลงใหญ่อยู่ติดซอยสาธารณะที่แยกมาจากซอยวัดรวก แขวงบางบำหรุ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร แล้วจำเลยได้แบ่งออกเป็นแปลงเล็ก ๆ 30 กว่าแปลงเพื่อขาย โดยเว้นที่ดินตรงกลางไว้เป็นถนนพิพาทกว้างประมาณ 6 เมตร ยาวประมาณ 200 เมตร เพื่อให้ผู้ที่ซื้อที่ดินแปลงเล็กใช้เป็นทางเข้าออกสู่ซอยสาธารณะที่แยกมาจากซอยวัดรวกด้านทิศเหนือถนนพิพาทจดซอยสาธารณะดังกล่าว ส่วนด้านทิศใต้เป็นทางตันติดที่ดินของจำเลยอีกแปลงหนึ่งถนนพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดเลขที่ 10884 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2512 โจทก์ได้ซื้อที่ดินที่จำเลยแบ่งแปลงหนึ่งคือโฉนดเลขที่ 10877 แล้วได้ปลูกบ้านอยู่อาศัย ใช้ถนนพิพาทเป็นทางเดินและทางรถยนต์เข้าออกสู่ซอยสาธารณะทางด้านทิศเหนือตลอดมา 10 ปีเศษ กับมีผู้อื่นที่ซื้อที่ดินแปลงที่จำเลยแบ่งทั้งสองฝั่งของถนนพิพาท และปลูกบ้านอยู่อาศัยอีกหลายราย ใช้ถนนพิพาทเป็นทางเดินและทางรถยนต์เข้าออกเช่นเดียวกับโจทก์ ต่อมาเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2524 จำเลยได้ปักเสาไม้หน้ากว้าง 4-5 นิ้ว ปักบนถนนพิพาทตอนปากทางห่างขอบถนนด้านทิศตะวันตกประมาณ 1 เมตร สูงจากพื้นดิน 1 เมตรเศษ เพื่อกันมิให้รถสิบล้อเข้าไปในถนนพิพาท แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ในประเด็นที่ว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะนั้นได้ความตามที่นำสืบรับกันว่าพวกที่ซื้อที่ดินจากจำเลยปลูกบ้านอยู่สองข้างถนนพิพาทเท่านั้นที่ใช้ถนนพิพาท ส่วนประชาชนทั่วไปไม่ได้ร่วมใช้ด้วย เพราะถนนพิพาทเป็นทางตัน แม้โจทก์จะเบิกความเช่นเดียวกับผู้ซื้อที่ดินอีก 2 รายว่า เมื่อซื้อที่ดินจำเลยบอกว่าให้ถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะ ตามพฤติการณ์ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้อุทิศโดยตรงหรือโดยปริยายให้ถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะ ฟังไม่ได้ว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ในประเด็นที่ว่าถนนพิพาทเป็นทางภารจำยอมนั้น คู่ความนำสืบรับกันว่า เมื่อจำเลยแบ่งที่ดินออกเป็นแปลงเล็ก ๆ และขายแก่โจทก์กับผู้อื่น จำเลยได้เว้นถนนพิพาทไว้เป็นทางเข้าออก มิฉะนั้นจะไม่มีทางอื่นใช้เข้าออกได้ โจทก์และผู้ซื้อที่ดินปลูกบ้านสองฝั่งถนนพิพาทใช้ถนนพิพาทเข้าออกจากที่ดินบ้านเรือนของตนสู่ซอยที่แยกจากซอยวัดรวกด้วยการใช้สัญจรไปมาและนำรถยนต์เข้าออกโดยไม่ปรากฏว่าต้องขออนุญาตจากจำเลย และโดยเฉพาะโจทก์ได้ใช้เป็นเวลาติดต่อกันมาเกิน 10 ปี ถนนพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์แล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ส่วนประเด็นที่ว่าการปักเสามิได้ทำให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไป หรือเสื่อมความสะดวกนั้น ได้ความตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องโจทก์ ตลอดจนกว่าภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.3 แสดงว่า ถนนพิพาทมีสภาพเป็นทางแยกจากซอยที่แยกจากซอยวัดรวก เมื่อเข้าหรือออกจากถนนพิพาทไปยังซอยดังกล่าว รถยนต์จะต้องตีวงเลี้ยวซ้ายหรือขวา จากภาพถ่ายหมาย ล.3 ของจำเลยเอง แสดงว่าเมื่อรถบรรทุกแล่นจากซอยนั้นเลี้ยวเข้าถนนพิพาทรถยังต้องเฉียดเสาที่จำเลยปักไว้เป็นการไม่สะดวก และโจทก์นำสืบว่าเมื่อก่อนปักเสารถยนต์ของโจทก์และผู้อื่นแล่นสวนกันได้สะดวก แต่จำเลยปักเสาแล้วไม่สะดวก เชื่อได้ว่าการปักเสาเป็นเหตุให้รถยนต์ส่วนตัวของโจทก์และรถผู้อื่นสวนกันไม่ได้สะดวกเหมือนเมื่อครั้งยังไม่มีการปักเสา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการทำให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ชอบที่จะให้จำเลยถอนเสาดังกล่าว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

พิพากษายืน

Share