คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1688/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เอาที่ดิน (มีโฉนดแต่ยังเป็นชื่อคนอื่น ยังไม่ได้โอน) ของโจทก์ยกให้บิดาจำเลยเป็นการตีใช้หนี้เงินกู้บิดาจำเลยก็รับชำระและยึดถือครอบครองที่ดินนั้นมาเกิน 10 ปีแล้วดังนี้ ฝ่ายจำเลยย่อมได้กรรมสิทธิในที่พิพาทในทางครอบครอง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกที่พิพาทคืนได้

ย่อยาว

เดิมโจทก์ถูกบิดจำเลยฟ้องเรื่องผิดสัญญากู้เงินแล้วทำสัญญายอมและตกลงกันโดยโจทก์เอาที่ดิน ๒ แปลงชำระหนี้แก่บิดาจำเลย แต่ปรากฎว่าที่ดิน ๒ แปลงนั้นเป็นที่ดินมีโฉนดมีชื่อคนอื่นเป็นเจ้าของ โจทก์จึงแถลงต่อศาลว่าจะไปจัดการโอนที่ดิน ๒ แปลงนั้นมาเป็นของโจทก์ก่อน เพราะโจทก์อ้างว่าได้ซื้อที่ ๒ แปลงนั้นจากผู้มีชื่อในโฉนดมาและได้ครอบครองมาช้านานแล้ว โจทก์จะโอนโฉนดให้บิดาจำเลยต่อไป แต่แล้วก็หาได้จัดการให้ลุล่วงไปไม่ ฝ่ายจำเลยคงครอบครองตลอดมา
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยอ้างว่าบิดาจำเลยยอมให้โจทก์ชำระหนี้รายนี้เป็นเงิน ส่วนที่ดิน ๒ แปลงนั้นตกลงคืนแก่โจทก์บิดาจำเลยตายจำเลยไม่ยอมคืนที่ดินโจทก์จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืน
จำเลยต่อสู้ว่า บิดาจำเลยไม่เคยตกลงรับชำระหนี้ใหม่เป็นเงิน ฝ่ายจำเลยครอบครองที่มากว่า ๑๐ ปีแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์เอาที่พิพาทตีใช้หนี้แก่บิดาจำเลย จำเลยครอบครองเป็นเจ้าของเรื่อยมาได้กรรมสิทธิในทางครอบครองแล้ว พิพาษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าที่พิพาท ๒ แปลงนี้เป็นของโจทก์ยกให้บิดาจำเลยเป็นการตีใช้หนี้เงินกู้ และบิดาจำเลยก็ตกลงรับชำระหนี้และยึดถือครอบครองที่นั้นมาจนถึงวันฟ้องเกิน ๑๐ ปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกที่พิพาทคืนได้ ศาลทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน

Share