คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4380/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บันทึกที่มีข้อความว่าโจทก์ไม่ได้รู้เห็นข้อเท็จจริงในการซื้อขายที่ดินไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ เพราะไม่ใช่หลักฐานที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแห่งสิทธิ จึงไม่เป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยข่มขืนใจโจทก์ให้ทำลายสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง ศ.กับส. ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง แม้โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยมีมูลความผิดตามมาตรา 309 วรรคสองแต่เมื่อโจทก์มิได้บรรยายข้อเท็จจริงและรายละเอียดแห่งการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 309 วรรคสอง มาในฟ้องกรณีไม่อาจลงโทษตามมาตรา 309 วรรคสองได้ เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่นอกเหนือไปจากคำฟ้อง ไม่เป็นข้อที่ได้ยกกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ ต้องถือว่าคดีของโจทก์ถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่มีสิทธิฎีกา แม้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาจะอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 83, 84, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มีใจความโดยสรุปว่า โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยกับนางศิริ ใยสอด ร่วมกันข่มขืนใจโจทก์ให้ลงชื่อในบันทึกฉบับหนึ่งและให้การต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ มีใจความว่าโจทก์ไม่เคยรู้เห็นถึงการทำสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนางศิริ ใยสอดกับนางสุพิศ สุนทราจารย์ และไม่เคยลงชื่อเป็นพยานในสัญญาฉบับนั้นทั้งที่ความจริงจำเลยรู้ดีว่าโจทก์เป็นผู้รู้เห็นถึงการซื้อขายที่ดินระหว่างนางศิริกับนางสุพิศและเป็นพยานในสัญญาดังกล่าว โดยจำเลยกับนางศิริข่มขู่โจทก์ว่า ถ้าไม่ยอมทำตามจะแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจจับโจทก์ไปคุมขัง เป็นเหตุให้โจทก์กลัวต้องจำยอมลงชื่อในบันทึกซึ่งมีข้อความว่า โจทก์ไม่รู้เห็นและไม่ได้เป็นพยานในการซื้อขายที่ดินครั้งนั้น และรับว่าจะไปให้การต่อพนักงานสอบสวนตามที่จำเลยขู่เข็ญ คำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกับนางศิริ ร่วมกันข่มขืนใจโจทก์ให้กระทำการ โดยลงชื่อในบันทึกและไปให้การต่อพนักงานสอบสวนให้ผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริงที่โจทก์รู้เห็น โดยข่มขู่ว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพของโจทก์ ทำให้โจทก์เกรงกลัวจำยอมกระทำตามที่จำเลยกับนางศิริขู่เข็ญซึ่งเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคหนึ่ง แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยกับนางศิริข่มขืนใจโจทก์ให้ลงชื่อในบันทึกว่าโจทก์ไม่รู้เห็นและไม่เคยเป็นพยานในการซื้อขายที่ดินระหว่างนางศิริกับนางสุพิศ เพื่อนำบันทึกฉบับนั้นไปหักล้างข้อความในสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวก็ตาม แต่บันทึกที่มีข้อความว่าโจทก์ไม่ได้รู้เห็นข้อเท็จจริงในการซื้อขายที่ดินไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลงโอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ เพราะไม่ใช่หลักฐานที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแห่งสิทธิแต่อย่างใด จึงไม่เป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) ทั้งโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับนางศิริร่วมกันข่มขืนใจโจทก์ให้ทำลายสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนางศิริกับนางสุพิศซึ่งเป็นเอกสารสิทธิ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง แต่เป็นความผิดตามมาตรา 309 วรรคหนึ่ง ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อหาความผิดดังกล่าวเป็นความผิดอันยอมความได้ตามมาตรา 321 เมื่อโจทก์มิได้ร้องทุกข์หรือฟ้องคดีภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในข้อนี้ ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในปัญหาดังกล่าว จึงเป็นอันยุติไปส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการร่วมขืนใจโจทก์ให้ทำลายสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนางศิริกับนางสุพิศอันเป็นเอกสารสิทธิ จึงมีมูลความผิดตามมาตรา 309 วรรคสองนั้นเมื่อโจทก์มิได้บรรยายข้อเท็จจริงและรายละเอียดแห่งการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 309 วรรคสองมาในฟ้องศาลย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 309 วรรคสอง ซึ่งเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่นอกเหนือไปจากคำฟ้องไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ ต้องถือว่าคดีของโจทก์ถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกา แม้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยฎีกาของโจทก์”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และยกฎีกาของโจทก์

Share