แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ตกลงจ้างทนายฟ้องคดีเป็นจำนวนหนึ่ง โดยไม่คำนึงว่าคดีจะดำเนินไปเสร็จหรือไม่ หากผู้จ้างมาถอนทนายนั้นเสียในระหว่างคดี ก็ไม่ถือว่าทนายเป็นฝ่ายผิดสัญญา และลดค่าจ้างมิได้
แม้ทนายที่จ้างไปนั้น เป็นทนายให้ผู้อื่นมาฟ้องผู้ว่าจ้างเป็นจำเลยให้เลิกกิจการบริษัท ดังนี้ก็ไม่ถือว่าทนายนั้นผิดสัญญาเป็นเรื่องเกี่ยวแก่มรรยาทต่างหาก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องวา จำเลยได้จ้างโจทก์เป็นทนายฟ้อง ซ. โดยตกลงค่าจ้างเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ไม่ว่าจำเลยจะยอมให้โจทก์ว่าความจนเสร็จหรือไม่ก็ตาม โจทก์ได้ยื่นฟ้อง ซ.แล้วในวันนัดพิจารณา จำเลยกลับแถลงต่อศาลขอถอนโจทก์ออกจากเป็นทนายจำเลย ค่าจ้างที่ค้างอยู่เมื่อหักกับเงินค่าใช้จ่ายที่จำเลยมอบให้ ซึ่งคงเหลืออยู่ที่โจทก์แล้ว จำเลยต้องชำระให้โจทก์อีก๖,๕๔๖ บาท ๖๐ สตางค์ จำเลยต่อสู้ว่า สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของ ซึ่งต้องรับทำการจนสำเร็จ และในระหว่างดำเนินคดีโจทก์กลับเป็นปฏิปักษ์จำเลย โดยโจทก์รับเป็นทนายของบริษัท ท. ซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยให้เลิกจากการกิจการบริษัทและอื่น ๆ หลายประการ
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์สืบได้ความชัดว่าจำเลยได้ตกลงจ้างโจทก์เป็นทนายฟ้อง ซ.ค่าจ้าง ๑๕,๐๐๐ บาทโดยไม่คำนึงว่าคดีจะดำเนินไปเสร็จหรือไม่ ฉะนั้นการที่จำเลยมาถอนโจทก์มิให้เป็นทนายต่อไป จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือลดค่าจ้างมิได้ เห็นพ้องตามศาลล่าง ส่วนข้อที่จำเลยถอนโจทก์เพราะไม่ไว้ใจด้วยเหตุที่โจทก์ไปเป็นทนายให้บริษัท ท.ฟ้องจำเลยให้เลิกกิจการบริษัทนั้น ก็เป็นเรื่องหนึ่งต่างหากเกี่ยวแก่มรรยาทซึ่งไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าโจทก์ประพฤติผิดสัญญา
พิพากษายืน