แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่1มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่422ซอยสันติสุขถนนสุขุมวิท71แขวงคลองตันเขตพระโขนง กรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่งกรุงเทพใต้แต่ต่อมาจำเลยที่1ได้จดทะเบียนเลิกห้างเมื่อวันที่9มกราคม2535และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่26พฤษภาคม2535การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่25พฤษภาคม2537ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้โดยขณะยื่นฟ้องผู้ชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่1มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการและจำเลยที่2มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครพนมดังนี้เมื่อจำเลยที่1จดทะเบียนเลิกห้างและชำระบัญชีเสร็จแล้วถือว่าจำเลยที่1มิได้ประกอบกิจการต่อไปจึงถือเอาสำนักงานใหญ่เดิมเป็นภูมิลำเนาหรือที่ประกอบธุรกิจในขณะยื่นฟ้องมิได้กรณีนี้จำเลยที่1คงมีได้แต่เพียงภูมิลำเนาเฉพาะการคือภูมิลำเนาของผู้ชำระบัญชีซึ่งปรากฏว่าอยู่นอกเขตอำนาจของศาลแพ่งกรุงเทพใต้เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ภายหลังจำเลยที่1จดทะเบียนเลิกห้างและเสร็จการชำระบัญชีเกินกว่า1ปีแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา150
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายศาลชั้นต้น (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) สั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณา ระหว่างส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ 1 มิได้มีภูมิลำเนาหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลา 1 ปี ก่อนฟ้อง(นับแต่วันจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี) และจำเลยที่ 2ก็มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลชั้นต้นด้วย จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่สั่งรับคำฟ้อง แล้วมีคำสั่งใหม่ว่าไม่รับฟ้องจำหน่ายคดีโจทก์เสียจากสารบบความคืนเงินประกัน 1,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าเดิมห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 422 ซอยสันติสุข ถนนสุขุมวิท 71 แขวงคลองตันเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2535 และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2535 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2537 ขณะยื่นฟ้องผู้ชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการและจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครพนม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์จะยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยที่ 1 เคยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลได้หรือไม่เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 150 บัญญัติว่า “การยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลาย ให้ยื่นต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขต ไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนในขณะที่ยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอ หรือภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนนั้น” และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 68 บัญญัติว่า”ภูมิลำเนาของนิติบุคคลได้แก่ถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือถิ่นอันเป็นที่ตั้งที่ทำการ หรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง” เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1จดทะเบียนเลิกห้างและชำระบัญชีเสร็จแล้วถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประกอบกิจการต่อไป จึงถือเอาสำนักงานใหญ่เดิมเป็นภูมิลำเนาหรือที่ประกอบธุรกิจในขณะยื่นฟ้องมิได้ กรณีนี้จำเลยที่ 1 คงมีได้แต่เพียงภูมิลำเนาเฉพาะการคือภูมิลำเนาของผู้ชำระบัญชีเท่านั้น ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษา ศาลฎีกาที่ 4165/2533 ระหว่างกรมสรรพากรโจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญนาวาทรานสปอร์ต กับพวกจำเลย ซึ่งก็อยู่นอกเขตอำนาจของศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ภายหลังจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้างและเสร็จการชำระบัญชีเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 150ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและคำพิพากษา ไม่รับฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน