คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4360/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาไต่สวนถึงเหตุที่โจทก์มิได้จงใจไม่นำส่งสำเนาฎีกาและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาแล้วสั่งยกคำร้องนั้น หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามลำดับชั้นศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาและพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ถูกต้อง เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าการยื่นคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการดำเนินคดีที่ต่อเนื่องกับคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกา ประกอบกับคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษาได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิจารณาพิพากษาใหม่อีก ศาลฎีกาย่อมพิจารณาพิพากษาคดีไปได้
โจทก์ยื่นฎีกาแต่โจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกามีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาที่ได้สั่งไปนั้นถึงที่สุด โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งไต่สวนและสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลฎีกาที่สั่งจำหน่ายคดีซึ่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฎีกา แต่โจทก์ไม่มานำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยภายใน ๑๕ วันตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้ส่งสำนวนมาให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่ง ศาลฎีกามีคำสั่งว่าการที่โจทก์เพิกเฉยไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยภายใน ๑๕ วัน ตามคำสั่งศาลชั้นต้นเข้าลักษณะเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔ (๒) แล้ว จึงให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๒ (๑) และให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับตามคำสั่งที่ ๓๗๘๕/๒๕๒๘ ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๒๘ และศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความฟังในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ แล้ว
ต่อมาวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ โจทก์ยื่นคำร้องว่า การที่โจทก์มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยภายในกำหนด ๑๕ วันตามคำสั่งศาลชั้นต้นเพราะโจทก์ป่วยและความจำเสื่อม มิได้จงใจไม่นำส่งสำเนาฎีกาโดยไม่มีเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๔ (๒) ตามรายงานเจ้าหน้าที่ธุรการรายงานต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๒๘ ก็รายงานแต่เพียงว่าพ้นกำหนดแล้ว โจทก์หาได้นำส่งสำเนาฎีกาตามคำสั่งศาลไม่ เจ้าหน้าที่มิได้รายงานว่าโจทก์เพิกเฉยไม่นำส่งสำเนาฎีกาเพียงแต่รายงานว่าโจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาเท่านั้นเอง เมื่อไม่ได้ความว่ามีการเพิกเฉย ศาลชั้นต้นควรสั่งเรื่องนี้เสียเองแทนที่จะส่งมาให้ศาลฎีกาสั่ง เพราะถ้าศาลชั้นต้นสั่งแล้วโจทก์ยังอาจอุทธรณ์ได้อีก การที่ศาลชั้นต้นส่งมาให้ศาลฎีกาสั่งจึงเป็นการข้ามขั้นตอนโดยไม่ชอบ อย่างไรก็ดีเมื่อเจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้นมิได้รายงานว่าโจทก์เพิกเฉยไม่นำส่งสำเนาฎีกา ศาลฎีกาก็ควรสั่งไต่สวนก่อนจะได้ทราบว่าโจทก์เพิกเฉยไม่นำส่งสำเนาฎีกาหรือไม่ หาควรด่วนมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องไม่ การที่ศาลฎีการีบด่วนมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบ และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งไต่สวนเรื่องนี้ว่าเป็นจริงดังที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ หากเป็นความจริงก็ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลฎีกา ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๒๘ นั้นเสีย แล้วมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาภายใน ๑๕ วันนับแต่วันศาลมีคำสั่งด้วย
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า การที่โจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในเวลาที่ศาลกำหนด ศาลฎีกามีคำสั่งจำหน่ายคดีแล้ว คำสั่งนั้นย่อมถึงที่สุด ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งศาลชั้นต้นเสีย แล้วมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องของโจทก์ไว้ แล้วส่งคำร้องของโจทก์ให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่งต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ตามคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ นั้น โจทก์ขอให้ศาลฎีกาสั่งไต่สวน และเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีและมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลฎีกา ที่โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์นั้นไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ไม่ได้ พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าคดีนี้มิใช่กรณีศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ยอมรับฎีกา โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ คำร้องของโจทก์ลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ เป็นคำร้องที่เจาะจงยื่นต่อศาลฎีกาขอใช้สิทธิให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งยึดหรือขยายเวลาให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓ ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาสั่งยกคำร้องแต่มีหน้าที่เพียงส่งคำร้องมาให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่ง ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์นั้นก็ไม่ชอบเช่นกันเพราะถ้าเป็นดังศาลอุทธรณ์กล่าวอ้างศาลอุทธรณ์น่าจะมีคำสั่งให้ส่งคืนอุทธรณ์แต่ศาลชั้นต้นแล้วสั่งให้โจทก์นำคำอุทธรณ์มายื่นใหม่เสียให้ถูกต้อง หรือส่งคืนไปศาลชั้นต้นให้ดำเนินการสั่งให้โจทก์แก้ไขยื่นต่อศาลฎีกาต่อไปนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วคำร้องของโจทก์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นตามคำร้องลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ เป็นคำร้องที่โจทก์ขอให้ศาลฎีกาไต่สวนถึงเหตุที่โจทก์มิได้จงใจไม่นำส่งสำเนาฎีกา และเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๒๘ (คำสั่งศาลฎีกาที่ ๓๗๘๕/๒๕๒๘ ระหว่างนายจำนงค์ แซ่เตียวหรือตีรณโชติ โจทก์ นายพิพัฒน์ จีระพันธ์ หรือจินานันท์ กับพวก จำเลย) แล้วมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาภายใน ๑๕ วันนับแต่วันมีคำสั่ง โดยอ้างว่าโจทก์มิได้จงใจไม่นำส่งสำเนาฎีกา เนื่องจากโจทก์ป่วยและความจำเสื่อม ทั้งสมควรที่จะต้องไต่สวนถึงเหตุที่โจทก์เพิกเฉยไม่นำส่งสำเนาฎีกาเสียก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔ (๒) ดังนี้ เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องของโจทก์แล้วสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสียนั้น หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามลำดับชั้นศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาและพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เสียนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าการยื่นคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ ดังกล่าวข้างต้นเป็นการดำเนินคดีที่ต่อเนื่องกับคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาประกอบกับคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษาได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่อีกและเห็นว่าคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาที่สั่งไปแล้วนั้นถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งไต่สวนและสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลฎีกาที่สั่งจำหน่ายคดีซึ่งถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่ เทียบตามนัยคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ๔๔๖/๒๕๑๗ ระหว่างนายเจียวบุ้น แซ่จิว โจทก์ นายเช็งโกย แซ่คู จำเลย
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์

Share