คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ภริยาคนหนึ่งฟ้องเรียกเอาสินสมรสในภาคภริยาเสียทั้งหมดดังนี้ ภริยาอีกคนหนึ่งซึ่งมีส่วนได้อยู่ด้วย ย่อมมีสิทธิติดตามฟ้องเรียกเอาส่วนของตนจากภริยาคนที่ฟ้องนั้นได้ภายในกำหนดอายุความ แม้ในขณะที่ภริยาคนหนึ่งฟ้องเรียกสินสมรสในคดีเรื่องก่อนนั้น ภริยาคนนี้จะมิได้เข้าร่วมเป็นโจทก์ด้วย และกลับเข้าเบิกความเป็นปฏิปักษ์ต่อภริยาคนนั้น ในคดีเรื่องนั้นก็ดีก็จะถือว่าเป็นข้อปิดปากภริยาคนนี้ หรือจะถือว่าภริยาคนนี้มาฟ้องคดีโดยใช้สิทธิไม่สุจริตไม่ได้ เพราะการที่จะเข้าร่วมเป็นคู่ความในคดีก่อน เพื่อบังคับตามสิทธิของตนหรือไม่นั้นเป็นสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย จะเข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 มิใช่เป็นบทบังคับให้ต้องเข้าร่วมเป็นคู่ความด้วยเสมอไป

ย่อยาว

โจทก์และจำเลยเป็นภรรยาหลวงนครจีนวิจารณ์ ตั้งแต่ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 หลวงนครจีนวิจารณ์ได้ยกย่องโจทก์และจำเลยเป็นภริยาเสมอกัน และต่างไม่มีบุตรด้วยกันกับหลวงนครจีนวิจารณ์
เมื่อหลวงนครจีนวิจารณ์ วายชนม์แล้ว นายจิ้นฮวดและนายจิ้นเหมงบุตรหลวงนครจีนวิจารณ์ ซึ่งเกิดกับนางอบภริยาเดิม ซึ่งวายชนม์ไปก่อนหลวงนครจีนวิจารณ์ ได้รวบรวมทรัพย์สมบัติดำเนินพาณิชกิจหาประโยชน์ไว้ทั้งสิ้น ส่วนจำเลยแยกไปอยู่ต่างหาก และต่อมาจำเลยได้ยื่นฟ้องนายจิ้นฮวด นายจิ้นเหมง ต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชขอแบ่งมรดก คดีดำเนินมาจนถึงศาลฎีกาได้พิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดให้แบ่งสินสมรสออกเป็น 3 ส่วน 2 ส่วนเป็นของหลวงนครจีนวิจารณ์ตกได้แก่นายจิ้นฮวดนายจิ้นเหมงตามพินัยกรรมของหลวงนครจีนวิจารณ์อีกส่วนหนึ่งเป็นภาคภริยาได้แก่จำเลยเป็นเงิน 76,036 บาท 32 สตางค์
การฟ้องคดีดังกล่าว จำเลยได้ขอเอาภาคภริยาทั้งภาค อันเป็นส่วนร่วมของโจทก์ด้วย โจทก์จึงขอให้จำเลยแบ่งให้แก่โจทก์ จำเลยไม่แบ่งให้ โจทก์จึงฟ้องขอบังคับให้จำเลยแบ่งเงินสินสมรสภาคภริยาทั้งภาค 76,036 บาท 32 สตางค์ ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง 38,018 บาท 16 สตางค์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่า การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าหากโจทก์มีสินเดิมมาอยู่กินกับหลวงนครจีนวิจารณ์ โจทก์ก็ย่อมมีส่วนได้ในสินสมรสที่เกิดขึ้นและเมื่อจำเลยซึ่งเป็นภริยาคนหนึ่งของหลวงนครจีนวิจารณ์ได้ฟ้องเรียกเอาสินสมรสในภาคภริยา ซึ่งโจทก์มีส่วนได้อยู่ด้วยไปเสียทั้งหมดโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิติดตามฟ้องเรียกเอาส่วนของตนจากจำเลยได้ภายในกำหนดอายุความ ข้อที่ศาลล่างวินิจฉัยว่า ในเวลาที่จำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกสินสมรสในคดีเรื่องก่อน โจทก์ในคดีนี้มิได้เข้าร่วมเป็นโจทก์ด้วย และกลับเข้าเบิกความเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ในคดีเรื่องนั้น จึงถือว่าการที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์จะเข้าร่วมเป็นคู่ความในคดีก่อนเพื่อบังคับตามสิทธิของตนหรือไม่ เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะเข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 มิใช่บทบังคับให้โจทก์ต้องเข้าร่วมเป็นคู่ความด้วยเสมอไปและการที่โจทก์เข้าเบิกความในคดีเรื่องก่อนเป็นปรปักษ์กับจำเลยก็เป็นเรื่องได้กระทำไปในฐานะพยานของฝ่ายที่อ้างตนมา ไม่ถึงกับจะถือเป็นข้อปิดปากโจทก์และการที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของตนเอาแก่จำเลยในเรื่องนี้ จะเรียกว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์มีสินเดิมหรือไม่ หากมีสินสมรสที่โจทก์ควรได้มีเพียงไร ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิจารณา จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ แล้วพิพากษาใหม่

Share