คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3459/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาท เมื่อผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องมิใช่บริวารของโจทก์ แต่จำเลยคัดค้านว่าผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทจะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์หรือไม่ ซึ่งการที่จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยปกติศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนโดยเปิดโอกาสให้คู่กรณีนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างและข้อคัดค้านของตนแล้วจึงจะวินิจฉัยชี้ขาด แต่คดีนี้ผู้ร้องมิได้มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยการที่ผู้ร้องเข้าครอบครองอ้างสิทธิในตึกแถวพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาโอนสิทธิการเช่าระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ จึงต้องถือว่าผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์ ดังนั้นแม้จะทำการไต่สวนและฟังข้อเท็จจริงได้ตามคำร้อง ก็คงต้องฟังว่าผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์อยู่นั่นเอง ศาลชอบที่สั่งงดการไต่สวนเสียได้
เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยในปัญหาที่ว่า ที่ศาลชั้นต้นงดไต่สวนคำร้องของผู้ร้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องโดยตรงแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจยกปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องโดยผู้พิพากษานายเดียวเป็นผู้ลงนามในคำสั่งนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวมีลักษณะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษานายเดียวที่จะออกคำสั่งได้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 21 (2)อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น โดยให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ให้มีผู้พิพากษาครบองค์คณะได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีความว่า ศาลชั้นต้นมีหมายบังคับคดีบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาซึ่งศาลมีคำสั่งให้โจทก์และบริวารออกไปจากตึกแถวเลขที่ 158/104-107 อาคารเลขที่ 158/110-111 อาคารเลขที่158/113-135 ซอยวัดเจ้ามูล ถนนจรัลสนิทวงศ์ แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ผู้ใดไม่ใช่บริวารของโจทก์ให้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนด 8 วัน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองตึกพิพาท อาคารเลขที่ 158/115-135 รวม 21 ห้อง โดยรับโอนสิทธิการเช่า และโอนการครอบครองมาจากโจทก์โดยสุจริต และมีค่าตอบแทนมา ตั้งแต่ปี 2528 จนกระทั่งปัจจุบันตามหลักฐานการโอนท้ายคำร้องโจทก์มิได้อาศัยอยู่ในอาคารดังกล่าว ผู้ร้องได้จัดให้ผู้มีชื่อเช่าอาคารดังกล่าวข้างต้นมาตั้งแต่ปี 2528 โดยโจทก์ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องแต่อย่างใดผู้ร้อง และผู้เช่าไม่ได้ เป็นบริวารของโจทก์ (ผู้เช่าเป็นบริวารของผู้ร้อง) ผู้ร้องไม่ทราบว่าอาคารดังกล่าวมีข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลย ดังนั้น ประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงบังคับผู้ร้องและผู้เช่าอาคารดังกล่าวไม่ได้ ผู้ร้องและผู้เช่ามีอำนาจพิเศษขอให้มีคำสั่งยกเลิกประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว
จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องกับผู้เช่าตึกแถวพิพาท จากผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์ทั้งสอง เพราะผู้ร้องกับผู้เช่าเข้าอยู่ในตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิจากโจทก์ทั้งสอง ขณะที่ผู้ร้องกับผู้เช่าของผู้ร้องเข้ามาอยู่ในตึกแถวพิพาท เมื่อปี 2528 นั้นโจทก์ทั้งสองกับจำเลยมีข้อพิพาทฟ้องร้องกันอยู่ที่ศาลชั้นต้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาจำเลยไม่เคยจดทะเบียนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาท กับโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจที่จะโอนสิทธิการเช่าและการครอบครองให้แก่ผู้ร้องและจำเลยไม่เคยได้รับเงินค่าเช่าจากผู้ร้องกับผู้เช่าของผู้ร้องขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้อง แต่พอถึงวันนัดเห็นว่าคดีไม่จำเป็นต้องไต่สวนให้งดไต่สวนและ มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้ว มีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ที่ ศาลชั้นต้น สั่ง งด ไต่สวน คำร้อง ชอบ ด้วยกฎหมาย แล้ว แต่ การ ที่ ศาลชั้นต้น สั่ง ยกคำร้อง ของ ผู้ร้อง โดยผู้พิพากษา นาย เดียว ลงนาม ใน คำสั่ง ไม่ชอบ ด้วย พระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 23 จึง พิพากษายก คำสั่งศาล ชั้นต้น ให้ ศาลชั้นต้น ดำเนิน กระบวนพิจารณา ให้ ถูกต้อง ตาม กฎหมาย แล้ว มี คำสั่ง ใหม่ ตาม รูปคดี
ผู้ร้องฎีกาขอให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นไต่สวน คำร้องของผู้ร้อง แล้ว มีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ศาลฎีกาวินิจฉัย ว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นมีหมายบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาทเมื่อ ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของโจทก์ แต่จำเลยคัดค้านว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทจะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์หรือไม่ ซึ่งการที่จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว โดยปกติศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนโดยเปิดโอกาสให้คู่กรณีนำพยานหลักฐานเข้าสืบ เพื่อ สนับสนุนข้ออ้างและข้อคัดค้านของตนแล้ว จึงจะวินิจฉัยชี้ขาด แต่สำหรับคดีนี้ การที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องมิใช่ เป็นบริวารของโจทก์เพราะผู้ร้องได้รับโอนสิทธิการเช่าและการครอบครองตึกแถวพิพาทมาจากโจทก์ซึ่งก็ปรากฏตามสัญญาโอนสิทธิการเช่า และโอนการครอบครองอาคารท้ายคำร้องของผู้ร้องว่า โจทก์เป็นผู้ก่อสร้างมีสิทธิครอบครองและ มีสิทธิให้เช่าตึกแถวพิพาทโจทก์ตกลงโอนสิทธิการเช่าและการครอบครองให้แก่ผู้ร้องโดยจะ ดำเนินการให้ผู้ร้องเข้าทำสัญญาเช่ากับจำเลยพร้อมกับจดทะเบียนการเช่าตามกฎหมายให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันทำสัญญา ดังนี้ กรณีจึงเป็นที่เห็นได้ว่าผู้ร้องมิได้มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยการที่ผู้ร้องเข้าครอบครองอ้างสิทธิในตึกแถวพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาโอนสิทธิการเช่าระหว่างผู้ร้องกับโจทก์กรณีจึงต้องถือว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์ ดังนั้น แม้จะทำการไต่สวน และฟังข้อเท็จจริงได้ตามคำร้องก็คงต้องฟังว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์อยู่นั่นเองที่ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นที่สั่งงดการไต่สวนจึงชอบแล้ว และเมื่อศาลอุทธรณ์ ได้วินิจฉัยในปัญหาที่ว่าที่ศาลชั้นต้นงดไต่สวนคำร้องของผู้ร้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องโดยตรงแล้วการที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจยกปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัยว่าการที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องโดยผู้พิพากษานายเดียวเป็นผู้ลงนามในคำสั่งนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวมีลักษณะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษานายเดียวที่จะออกคำสั่งได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 21(2) อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นโดยให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ให้มีผู้พิพากษาครบองค์คณะได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share