คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4356/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม บัญญัติห้ามมิให้เจ้าหนี้ฟ้องร้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้าหนี้ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวหาได้กำหนดเงื่อนไขว่าหากยังไม่ได้มีการจัดการมรดกของลูกหนี้แล้วเจ้าหนี้จะมีสิทธิฟ้องร้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดกได้แม้พ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดกแต่อย่างใดไม่ ดังนั้นจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดกผู้เป็นลูกหนี้จึงมีสิทธิยกอายุความหนึ่งปีขึ้นมาต่อสู้โจทก์ได้
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเจ้ามรดกผู้เป็นลูกหนี้ แม้จะยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ก็มิได้ทำให้กลายเป็นลูกหนี้ร่วมเต็มตัวอย่างลูกหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 แต่เป็นการยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 691 ซึ่งคงเสียสิทธิเพียงไม่อาจยกข้อต่อสู้ตามมาตรา 688, 689 และ 690 ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ นอกนั้นมิได้เสียสิทธิของผู้ค้ำประกันตามบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันแต่อย่างใด แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้เป็นทายาทของเจ้ามรดกผู้เป็นลูกหนี้ และตามสัญญาค้ำประกันจะได้ระบุให้ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชำระหนี้แทนผู้กู้ให้แก่ผู้ให้กู้ทั้งสิ้นในเมื่อผู้กู้ไม่ชำระหนี้หรือผู้กู้ถึงแก่กรรมหรือหนี้ระงับด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม แต่ข้อตกลงในสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้รวมไปถึงเรื่องการสละสิทธิยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ด้วย ดังนั้นจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน จึงมีสิทธิยกอายุความดังกล่าวขึ้นต่อสู้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๖ นายสมหมาย ยิ้มย่อง กู้ยืมเงินจำนวน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ไปจากนายดิเรก ปราบใหญ่ ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี และนายสมหมายได้รับต้นเงินไปครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญา เพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ดังกล่าวจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากที่นายสมหมายกู้ยืมเงินไปแล้ว ไม่เคยนำต้นเงินและดอกเบี้ยมาชำระแก่นายดิเรก ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๐ (ที่ถูกวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๐) นายสมหมายถึงแก่กรรม นายดิเรกเคยติดต่อให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดกของนายสมหมายและจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยจนกระทั่งนายดิเรกถึงแก่กรรม โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายดิเรกได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองก็ยังคงเพิกเฉย จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน ๒๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๖ ถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๕๖,๒๕๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๔๕๖,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๒๕๐,๐๐๐ บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า นายสมหมายถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๐ (ที่ถูกวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๐) นายดิเรกรู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของนายสมหมายเกินกว่า ๑ ปี ตั้งแต่ก่อนที่นายดิเรกจะถึงแก่กรรม การที่นายดิเรกไม่ฟ้องคดีภายในกำหนดเวลา ๑ ปี นับแต่รู้หรือควรรู้ถึงความตายของนายสมหมาย คดีจึงขาดอายุความโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายดิเรกนำคดีที่ขาดอายุความมาฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า _ _ _ พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองจะยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๗๕๔ วรรคสาม ขึ้นมาต่อสู้โจทก์ได้หรือไม่ และคดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔ วรรคสาม บัญญัติห้ามมิให้เจ้าหนี้ฟ้องร้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวหาได้กำหนดเงื่อนไขว่าหากยังไม่ได้มีการจัดการมรดกของลูกหนี้แล้วเจ้าหนี้จะมีสิทธิฟ้องร้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดกได้แม้พ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดกแต่อย่างใดไม่ ดังนั้นจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของนายสมหมายเจ้ามรดกผู้กู้จึงมีสิทธิยกอายุความหนึ่งปีขึ้นมาต่อสู้โจทก์ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า มาตรา ๑๗๕๔ วรรคสาม ใช้บังคับกับเจ้าหนี้มีประกันไม่ใช้กับโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญนั้น เห็นว่า ความในมาตรา ๑๗๕๔ วรรคสาม ตอนแรกที่บัญญัติว่าภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๙๓/๒๗ นั้นหมายถึงความในมาตรา ๑๗๕๔ วรรคสาม ไม่กระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้ในมาตรา ๑๙๓/๒๗ ซึ่งให้สิทธิเจ้าหนี้มีประกันบังคับชำระหนี้ได้แม้หนี้นั้นจะขาดอายุความแล้วก็ตาม หาใช่ว่าความในมาตรา ๑๗๕๔ วรรคสาม บังคับใช้เฉพาะเจ้าหนี้มีประกัน ไม่ใช้กับโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญตามที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใดไม่ ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันนายสมหมายเจ้ามรดกแม้จะยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมก็ตาม ก็มิได้ทำให้กลายเป็นลูกหนี้ร่วมเต็มตัวอย่างลูกหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙๑ แต่เป็นการยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา ๖๙๑ ซึ่งคงเสียสิทธิเพียงไม่อาจยกข้อต่อสู้ตามมาตรา ๖๘๘, ๖๘๙ และ ๖๙๐ ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ นอกนั้นมิได้เสียสิทธิของผู้ค้ำประกันตามบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันแต่อย่างใด ดังนั้น จำเลยที่ ๒ จึงย่อมมีสิทธิตามมาตรา ๖๙๔ ที่จะยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งนายสมหมายเจ้ามรดกผู้เป็นลูกหนี้มีต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วย แม้จำเลยที่ ๒ จะไม่ได้เป็นทายาทของนายสมหมายผู้เป็นลูกหนี้ก็ตาม และที่โจทก์ฎีกาว่าตามสัญญาค้ำประกัน ระบุถึงความรับผิดของจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันไว้โดยชัดแจ้งว่า ถ้าผู้กู้ไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ตามสัญญา หรือผู้กู้ถึงแก่กรรม หรือหนี้ระงับด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชำระหนี้แทนให้ทั้งสิ้น จำเลยที่ ๒ จึงไม่อาจยกเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้ในคดีนี้ได้นั้น เห็นว่าข้อตกลงในสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเพียงแต่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิด แม้ผู้กู้ถึงแก่กรรมหรือหนี้ระงับไปแล้วหรือผู้กู้ไม่ชำระหนี้เท่านั้น แต่ไม่ได้กำหนดรวมไปถึงเรื่องการสละสิทธิยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ด้วย ดังนั้นผู้ค้ำประกันจึงมีสิทธิยกอายุความดังกล่าวขึ้นต่อสู้ได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า นายสมหมายถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๐ นายดิเรกผู้เป็นเจ้าหนี้ก็รู้ถึงความตายของนายสมหมาย แต่ไม่ได้ดำเนินการฟ้องร้อง จนกระทั่งถึงแก่กรรมแล้วโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายดิเรกนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๑ อันพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อนายดิเรกได้รู้ถึงความตายของนายสมหมายแล้วเช่นนี้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔ วรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share