คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2547

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับเงินเพราะเหตุออกจากงานเป็นเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานที่ถือว่าเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ข้อ 1(ค) โดยนายจ้างจ่ายให้โจทก์กับเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นเงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้(ฉบับที่ 45) ข้อ 1(ข) โดยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ น. ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากไม่ใช่นายจ้างของโจทก์เป็นผู้จ่าย โดยจ่ายให้คนละปีภาษี เงินชดเชยกับเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่ใช่ผู้จ่ายรายเดียวกัน โจทก์ผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกเสียภาษีตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากรไม่เพียงเฉพาะเงินได้ที่จ่ายในปีภาษีแรกที่มีการจ่ายเงินได้เท่านั้นตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ข้อ 2(ข)ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้รับเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นคนละปีภาษีกับที่โจทก์ได้รับเงินชดเชย โจทก์จึงนำเงินได้ที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ น. ที่ได้รับมาเลือกเสียภาษีแยกต่างหากจากเงินได้อื่นในปีภาษีต่อมาตามมาตรา 48(5) ได้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นพนักงานของบริษัทโนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด ต่อมาวันที่ 30 ธันวาคม 2541 บริษัทโนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด เลิกจ้างโจทก์ โจทก์ได้รับเงินชดเชยการเลิกจ้างจากบริษัทนายจ้างทันทีจำนวน 1,022,825 บาท หักภาษี ณที่จ่าย 40,191 บาท ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 โจทก์ได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโนวาร์ตีส ซึ่งจดทะเบียนแล้วจำนวน 1,527,855 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย 85,885.60 บาท วันที่ 26 มกราคม 2542 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยโจทก์นำเงินชดเชยจากการเลิกจ้างมาคิดคำนวณหักค่าใช้จ่ายแบบบำเหน็จบำนาญ โจทก์มีสิทธิได้รับเงินภาษีคืน 15,000 บาท ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2543 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเงินได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเงินได้จากดอกเบี้ย โดยโจทก์นำเงินได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาคิดคำนวณหักค่าใช้จ่ายแบบบำเหน็จบำนาญอีกครั้ง ปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ต่อมาโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงวันที่ 10 เมษายน 2543 แจ้งว่า โจทก์ได้ใช้สิทธิคำนวณภาษีเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานเฉพาะที่เลือกเสียภาษี โดยไม่นำไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่น ๆ ในปีภาษี 2541 แล้วจึงไม่ได้รับสิทธิดังกล่าวตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ในปีภาษี 2542 ให้โจทก์ชำระภาษี 205,098.69 บาท ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 18 มิถุนายน 2544 โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์โดยวินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานในส่วนของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพถูกต้องแล้ว คงเหลือภาษีที่เรียกเก็บพร้อมเงินเพิ่ม 176,479.26 บาท ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 โจทก์เห็นว่าโจทก์ได้รับเงินทั้งสองประเภทเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียว เพราะเหตุออกจากงาน แม้โจทก์จะได้รับคนละปีภาษีก็ตามโจทก์ก็มีสิทธินำมารวมกันแล้วคำนวณหักค่าใช้จ่ายแบบบำเหน็จตามประมวลรัษฎากร มาตรา 48(5) ได้การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้พิพากษาว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเลขที่ 3014400/1/100600 ลงวันที่ 10 เมษายน2543 ของจำเลยที่ให้โจทก์เสียภาษีทั้งสิ้น 205,098 บาท และให้ยกเลิกคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ. 3 (อธ. 4)/1/2544 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2544 ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย

จำเลยให้การว่า โจทก์ถูกให้ออกจากงานได้รับเงินค่าชดเชยจากการเลิกจ้าง และเงินจากทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเงินทั้งสองประเภทเป็นเงินที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุที่โจทก์ถูกให้ออกจากงานแต่ได้รับเงินคนละปีภาษี โจทก์ไม่มีสิทธินำเงินได้แต่ละประเภทมาคำนวณหักค่าใช้จ่ายแบบบำเหน็จบำนาญตามประมวลรัษฎากร มาตรา 48(5) เพราะตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ลงวันที่ 24 กันยายน2535 ข้อ 2(ข) กำหนดให้ในกรณีที่มีการจ่ายเงินได้พึงประเมิน ซึ่งเป็นเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานตามข้อ 1 จากผู้จ่ายรายเดียวกันหลายครั้งไม่ว่าจะแบ่งจ่ายจากเงินประเภทเดียวกันหรือหลายประเภท ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้เฉพาะเงินได้ที่จ่ายในปีภาษีแรกที่มีการจ่ายเงินได้ดังกล่าวเท่านั้น การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นพนักงานของบริษัทโนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2525จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2541 จึงถูกเลิกจ้าง บริษัทโนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด จ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้างให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2541 จำนวน 1,022,825 บาท หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 40,191 บาท ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 โจทก์ได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโนวาร์ตีสซึ่งบริหารงานโดยธนาคารทหารไทย จำกัด จำนวน 1,527,855 บาท หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 85,885.60 บาท เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2542 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในส่วนของเงินชดเชยการเลิกจ้างโดยเลือกเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 48(5) ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2543โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 1,527,855 บาท และเงินได้จากดอกเบี้ยจำนวน 187,976.39 บาท โดยโจทก์เลือกเสียภาษีตามมาตรา 48(5) แต่จำเลยเห็นว่า โจทก์เสียภาษีไม่ถูกต้องเนื่องจากโจทก์ได้เลือกเสียภาษีตามมาตรา 48(5) ไปแล้วในปีภาษี 2541 โจทก์จึงไม่มีสิทธิชำระภาษีโดยวิธีดังกล่าวอีกตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้(ฉบับที่ 45) มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเสียภาษีในเงินได้ที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโนวาร์ตีสจำนวน 1,527,855 บาท ที่ได้รับในปีภาษี 2542ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 48(5) ได้หรือไม่ เห็นว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากรได้หรือไม่ มาตรา 48(5) บัญญัติว่า ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได้ สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2)ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานและได้จ่ายตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด… ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขไว้ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ดังนี้

…ข้อ 1. เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานให้หมายถึงเงินได้ดังนี้

ก) เงินได้ที่คำนวณตามหลักเกณฑ์ และวิธีการเช่นเดียวกับวิธีการคำนวณบำเหน็จตามกฎหมายว่าด้วย บำเหน็จบำนาญข้าราชการ

ข) เงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

ค) เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

ง) เงินได้พึงประเมินที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณแตกต่างไปจากวิธีการตาม (ก)

ข้อ 2. เงินได้พึงประเมินตามข้อ 1 ที่ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีแยกต่างหากจากเงินได้อื่นตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากรได้ จะต้องมีเงื่อนไขดังนี้

ก) เป็นเงินได้ที่จ่ายให้เนื่องจากออกจากงานที่มีระยะเวลาทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี

ข) ในกรณีที่มีการจ่ายเงินได้ตามข้อ 1 จากผู้จ่ายรายเดียวกันหลายครั้งไม่ว่าจะแบ่งจ่ายจากเงินประเภทเดียวกันหรือหลายประเภท ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้เฉพาะเงินได้ที่จ่ายในปีภาษีแรกที่มีการจ่ายเงินได้ดังกล่าวเท่านั้น…

ค) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีในกรณีนี้ได้เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีตามมาตรา 48(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากรไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน.. ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้รับเงินเพราะเหตุออกจากงาน2 ประเภท ประเภทที่หนึ่งเป็นเงินชดเชยการเลิกจ้างจำนวน 1,022,825 บาท ซึ่งเป็นเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานที่ถือว่าเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ข้อ 1 (ค) โดยนายจ้างจ่ายให้โจทก์ในวันที่ 30 ธันวาคม 2541 ประเภทที่สองเป็นเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 1,527,855 บาท โดยจ่ายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 ซึ่งเป็นเงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ข้อ 1(ข) ผู้ที่จ่ายเงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์คือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโนวาร์ตีส ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากไม่ใช่นายจ้างของโจทก์เป็นผู้จ่ายดังนี้ จะเห็นได้ชัดว่าเงินชดเชยการเลิกจ้างกับเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพผู้ที่จ่ายเงินให้แก่โจทก์ ไม่ใช่ผู้จ่ายรายเดียวกัน จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากรได้เฉพาะเงินได้ที่จ่ายในปีภาษีแรกที่มีการจ่ายเงินได้เท่านั้นตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ข้อ 2 (ข) ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้รับเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปีภาษี 2542 ซึ่งเป็นคนละปีภาษีกับที่โจทก์ได้รับเงินชดเชยการเลิกจ้าง โจทก์จึงชอบที่จะนำเงินได้ที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโนวาร์ตีสจำนวน 1,527,855 บาท ที่ได้รับในปีภาษี 2542 มาเลือกเสียภาษีแยกต่างหากจากเงินได้อื่นตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากรได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้เพิกถอนหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเลขที่ 3014400/1/100600 ลงวันที่ 10 เมษายน 2543 ของจำเลยที่ให้โจทก์เสียภาษี 205,098 บาท และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ. 3 (อธ. 4)/1/2544 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2544 ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 2,000 บาท

Share