คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ยึดถือครอบครองที่ดิน ได้ใช้น้ำและทางสัญจรไปมาทางคลองหนึ่งจนได้ภารจำยอมแล้ว เมื่อจำเลยได้ปิดขวางคลองนั้นแม้ที่ดินที่โจทก์ครอบครองจะอยู่ในเขตพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามอันเป็นเหตุให้โจทก์ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่แปลงนี้ก็ดีแต่เมื่อโจทก์ถูกรบกวนสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ยึดถือครอบครองจนได้รับความเสียหายโจทก์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้ซึ่งรบกวนสิทธิของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่นามือเปล่าโดยซื้อมาเมื่อ พ.ศ. 2500 โจทก์ได้ใช้น้ำและใช้ทางสัญจรไปมาทางคลองโรงซึ่งแยกจากคลองสาธารณะมาสู่นาโจทก์ตั้งแต่เจ้าของเดิมสืบเนื่องมาถึงโจทก์ด้วยความสงบ และเปิดเผยเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วคลองโรงจึงตกเป็นภารจำยอม ต่อมาจำเลยได้ปิดขวางคลองโรงนี้ทำให้น้ำเข้านาของโจทก์มิได้ จึงขอให้เปิดคลองนี้และใช้ค่าเสียหาย

จำเลยต่อสู้ว่าคลองโรงมิได้ใช้เป็นทางสาธารณะ ไม่ใช่ทางภารจำยอมและโจทก์ไม่เสียหาย

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดคลองโรงและใช้ค่าเสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะเรื่องค่าเสียหาย นอกนั้นพิพากษายืน

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์เป็นผู้ยึดถือครอบครองที่ดิน แม้ที่ดินแปลงนี้จะอยู่ในเขตพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามอันเป็นเหตุให้โจทก์ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่แปลงนี้ก็ดี แต่เมื่อโจทก์ถูกรบกวนสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ยึดถือครอบครองจนได้รับความเสียหาย โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ที่รบกวนสิทธิของโจทก์ได้

เมื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share