แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นย่าจำเลย ได้รับจำเลยมาอยู่ร่วมบ้าน เมื่อแต่งงานแล้วจำเลยและสามีก็อยู่ที่บ้านโจทก์ โจทก์ให้ที่นาที่อยู่อาศัยพร้อมบ้านแก่จำเลยการที่โจทก์ออกจากบ้านตั้งแต่ต้นปี 2525 เพราะจำเลยไม่เลี้ยงดู ด่าและไล่โจทก์ออกจากบ้าน. ซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์ทราบถึงการประพฤติเนรคุณของจำเลย เมื่อนับถึงวันที่ 3 มีนาคม 2526ที่โจทก์ฟ้องจึงเกิน 6 เดือน โจทก์หาอาจจะถอนคืนการให้ได้ไม่ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 533
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยโอนที่ดินตามฟ้องคืนให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติได้ว่าโจทก์เป็นย่าจำเลย โจทก์ได้รับจำเลยมาอยู่ร่วมบ้านและให้การเลี้ยงดูเสมือนเป็นบุตรของโจทก์ เมื่อจำเลยแต่งงานกับนายบุญทอง เจนบุรี จำเลยและสามีก็อยู่ที่บ้านโจทก์ โจทก์ได้ให้ที่นา 1 แปลง และที่ดินอยู่อาศัย 1 หลังแก่จำเลย ปัญหาตามฎีกาจำเลยมีว่าโจทก์ให้ที่ดินตามหน้าที่ธรรมจรรยาหรือไม่ จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์และฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ตามฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องว่าเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2525 หลังจากที่โจทก์ได้แบ่งทรัพย์สินให้บุตรไปแล้ว โจทก์มีฐานะยากจนลงไม่มีทรัพย์สินที่จะใช้จ่ายอย่างคนธรรมดาในเวลาจำเป็น โจทก์ได้ขอให้จำเลยจ่ายทรัพย์สินหรือเงินให้โจทก์ใช้สอยซื้อเครื่องนุ่งห่ม หรือของที่จำเป็นส่วนตัวในการเลี้ยงดู รักษาพยาบาลเมื่อโจทก์เจ็บป่วย แต่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมให้ของจำเป็นเลี้ยงชีพแก่โจทก์ ทั้งแสดงท่าทีก้าวร้าว รังเกียจและขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน โจทก์ต้องไปอาศัยอยู่กับบุคคลอื่น ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงและประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ดังนี้ หมายความว่าจำเลยได้ประพฤติเนรคุณโจทก์เมื่อประมาณต้นปี 2525 ไม่ใช่โจทก์เพิ่งมามีฐานะยากจนลงเมื่อต้นปี พ.ศ. 2525 เพราะโจทก์ได้แบ่งทรัพย์สินให้บุตรหมดแล้ว รวมทั้งที่ดินที่ให้จำเลยด้วย ซึ่งปรากฏว่าโจทก์ได้ให้ที่นาแก่จำเลยเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2520 และให้ที่ดินอยู่อาศัยที่จำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อปี พ.ศ. 2521 ตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 และ 2 ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีทรัพย์สินอันใดอีก โจทก์จึงได้มีฐานะยากจนลง ที่โจทก์เบิกความว่าเมื่อเดือน 12 ปี พ.ศ. 2525 จำเลยไม่เลี้ยงดูโจทก์ จำเลยด่าโจทก์และไล่โจทก์ให้ออกจากบ้าน ก็เพื่อให้เห็นว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์เมื่อเดือน 12 ปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นปลายปี พ.ศ. 2525 นั้นขัดกับคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้ว และที่โจทก์เบิกความว่า ตอนออกมาจากบ้านได้ไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจตามสำเนารายงานประจำวันเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งโจทก์ได้แจ้งความไว้เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2525 ว่าแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน เห็นว่าการที่โจทก์ออกจากบ้านที่เคยอาศัยไปอยู่บ้านอื่น ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีเหตุผลหรือความจำเป็นที่จะต้องไปแจ้งไว้เป็นหลักฐานอย่างใด จำเลยก็นำสืบว่าโจทก์ได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่เดือนอ้าย ปี พ.ศ. 2525 แสดงว่าโจทก์ได้ออกจากบ้านไปนานเกือบ 1 ปีแล้วจึงไปแจ้งเป็นหลักฐานไว้ที่สถานีตำรวจ คำเบิกความของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ศาลฎีกาเชื่อว่าโจทก์ได้ออกไปจากบ้านที่อยู่อาศัยตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2525 ตามฟ้องซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์ทราบถึงการประพฤติเนรคุณโจทก์ของจำเลยเมื่อนับถึงวันที่ 3 มีนาคม 2526 ที่โจทก์ฟ้องจึงเกิน 6 เดือน โจทก์หาอาจจะถอนคืนการให้ได้ไม่ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 533 ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลเป็นพับ