แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หุ้นเป็นสิ่งซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ จึงต้องถือว่าเป็นทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 99
โจทก์ได้หุ้นมา ต้องถือว่าเป็นการได้มาซึ่งทรัพย์สินซึ่งจะต้องนำมารวมเป็นรายได้ของโจทก์ในการคำนวณกำไรสุทธิโดยตีราคาหุ้นนั้นตามราคาที่พึงซื้อได้ตามปกติตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ(3)
การที่โจทก์จ่ายเงินซื้อหุ้นเดิมนั้นเป็นรายจ่ายที่บังเกิดผลเป็นการเพิ่มเติมทรัพย์สินของโจทก์ขึ้นมา ถือได้ว่าเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนซึ่งจะนำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ(1) และ 65ตรี(5) และหุ้นเดิมของโจทก์นั้นก็ยังคงเป็นทรัพย์สินของโจทก์อยู่ตามเดิม ไม่ได้สูญหายไปไหน เจ้าพนักงานประเมินนำทรัพย์สินเฉพาะส่วนที่โจทก์ได้รับเพิ่มเติมมาคือหุ้นปันผลมารวมเป็นรายได้ในการคำนวณหากำไรสุทธิของโจทก์เท่านั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าการประเมินภาษีของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากร จำเลยให้การต่อสู้ว่าชอบแล้ว ศาลย่อมมีหน้าที่ยกบทกฎหมายมาปรับแก่คดีว่า การประเมินของจำเลยชอบด้วยประมวลรัษฎากรหรือไม่ ไม่ใช่วินิจฉัยนอกคำให้การ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นธนาคารนครหลวงไทย จำกัดอยู่ ๖,๘๖๒ หุ้น มูลค่าหุ้นละ ๑๐๐ บาท โดยซื้อหุ้นดังกล่าวมาในราคาหุ้นละ ๒,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๓,๗๒๔,๐๐๐ บาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าตามใบหุ้นถึง ๒๐ เท่า ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัดได้ออกหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราที่ผู้ถือหุ้น ๑ หุ้นจะได้รับเงินปันผล๑๙ หุ้น ดังนั้นโจทก์จึงได้รับหุ้นปันผลมา ๑๓๐,๓๗๘ หุ้น มูลค่าหุ้นละ ๑๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๓,๐๓๗,๘๐๐ บาท เมื่อหักกับราคาหุ้นเดิมที่โจทก์ซื้อมา โจทก์ยังขาดทุนอยู่ ๖๘๖,๒๐๐ บาท แต่เจ้าพนักงานประเมินภาษีของจำเลยที่ ๑ได้ทำการตรวจสอบบัญชีปี ๒๕๑๕ ของโจทก์แล้วมีความเห็นว่า การที่โจทก์ได้รับหุ้นปันผลมาเป็นมูลค่า ๑๓,๐๓๗,๘๐๐ บาทนั้น เป็นเงินที่จะต้องนำมาคำนวณเป็นส่วนรายได้ของโจทก์ และประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้จากโจทก์เพิ่มเติมอีก ๓,๙๑๑,๓๔๐ บาท กับเงินเพิ่มอีกร้อยละ ๒๐ เป็นเงิน ๗๘๒,๒๖๔ บาท รวมเป็นเงิน ๔,๖๙๓,๖๐๘ บาท โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยจำเลยที่ ๒,ที่ ๓, ที่ ๔ วินิจฉัยยืนตามเดิม โจทก์ชอบที่จะเสียภาษีกำไรสุทธิตามมาตรา ๖๕ ไม่ใช่เสียภาษีตามมาตรา ๔๐ แห่งประมวลรัษฎากร ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์มีหุ้นอยู่เดิม ๖,๘๖๒ หุ้น มูลค่าหุ้นละ ๑๐๐ บาท เป็นเงินลงทุน ๖๘๖,๒๐๐ บาท ต่อมาธนาคารออกหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นแต่ละคนตามส่วนในอัตราหุ้นเดิม ๑ หุ้น ได้รับแบ่งหุ้นใหม่ ๑๙ หุ้นโดยผู้ถือหุ้นไม่ต้องออกเงินอย่างใด ฉะนั้น หุ้นปันผลจำนวน ๑๓๐,๓๗๘ หุ้นเป็นมูลค่า ๑๓,๐๓๗,๘๐๐ บาท ที่โจทก์ได้รับมาโดยไม่ต้องออกเงินลงทุนนี้จึงเป็นทรัพย์สินที่เป็นรายได้ของโจทก์ แต่โจทก์ไม่นำลงบัญชีรายได้จึงทำให้กำไรสุทธิของโจทก์ลดต่ำจากความจริงไป ๑๓,๐๓๗,๘๐๐ บาท เมื่อนำกำไรสุทธิจำนวนนี้ไปรวมกำไรสุทธิของโจทก์ในการขายหุ้นธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ให้แก่บริษัทกาญจนพาศน์ จำกัด ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ อีก ๑,๗๖๐,๐๐๐ บาทแล้ว โจทก์จึงมีกำไรสุทธิในปี ๒๕๑๕ รวม ๑๔,๗๙๗,๘๐๐ บาท ซึ่งโจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้ ๔,๓๖๔,๓๔๐ บาท แต่โจทก์ได้ชำระไว้แล้ว ๔๕๓,๐๐๐ บาท โจทก์จึงต้องชำระภาษีเงินได้เพิ่มอีก ๓,๙๑๑,๓๔๐ บาท กับต้องเสียเพิ่มตามกฎหมายอีก ๗๘๒,๒๖๘ บาท รวมเป็นเงิน ๔,๖๙๓,๖๐๘ บาท ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินไว้โดยชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หุ้นเป็นสิ่งซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ จึงต้องถือว่าเป็นทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๙๙ เมื่อโจทก์ได้หุ้นนั้นมาก็ต้องถือว่าเป็นการได้มาซึ่งทรัพย์สิน ซึ่งจะต้องนำมารวมเป็นรายได้ของบริษัทโจทก์ในการคำนวณกำไรสุทธิ โดยตีราคาหุ้นนั้นตามราคาที่พึงซื้อได้ตามปกติ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕ ทวิ(๓) ฉะนั้นการที่เจ้าพนักงานประเมินตีราคาหุ้นที่โจทก์ได้รับมา ๑๓๐,๓๗๘ หุ้นตามมูลค่าในใบหุ้น หุ้นละ ๑๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๓,๐๓๗,๘๐๐ บาท จึงชอบด้วยวิธีการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา ๖๕ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
การที่โจทก์จ่ายเงินซื้อหุ้นเดิมมาเป็นเงิน ๑๓,๗๒๔,๐๐๐ บาท นั้นเป็นรายจ่ายที่บังเกิดผลเป็นการเพิ่มเติมทรัพย์สินของโจทก์ขึ้นมา จึงถือได้ว่าเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน ซึ่งจะนำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของบริษัทโจทก์ไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕ ทวิ(๑) และ ๖๕ ตรี(๕) ดังจะเห็นได้ว่าหุ้นเดิม ๖,๘๖๒ หุ้น ของโจทก์นั้นก็ยังคงเป็นทรัพย์สินของโจทก์อยู่ตามเดิม ไม่ได้สูญหายไปไหนเจ้าพนักงานประเมินคงนำทรัพย์สินเฉพาะส่วนที่โจทก์ได้รับเพิ่มเติมมาคือหุ้นปันผล ๑๓๐,๓๗๘ หุ้นเป็นมูลค่า ๑๓,๐๓๗,๘๐๐ บาท มารวมเป็นรายได้ในการคำนวณหากำไรสุทธิของโจทก์เท่านั้น ซึ่งชอบด้วยวิธีคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา ๖๕ ทวิ(๑), (๓) แล้ว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าการประเมินภาษีของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากรจำเลยให้การต่อสู้ว่าชอบแล้ว ศาลย่อมมีหน้าที่ยกบทกฎหมายมาปรับแก่คดีว่าการประเมินของจำเลยชอบด้วยประมวลรัษฎากรหรือไม่ จะว่าศาลวินิจฉัยนอกคำให้การหาได้ไม่
พิพากษายืน