คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4351/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

บันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ทั้งสามและจำเลยกับ ว. ที่ให้โจทก์ทั้งสามถอนฟ้องคดีอาญาที่ยื่นฟ้องจำเลยกับ ว. ไว้ ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นคดีอาญาแผ่นดินไม่ใช่คดีความผิดอันยอมความได้ เป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
บันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความ นอกจากมีข้อตกลงให้ถอนฟ้องคดีอาญาซึ่งเป็นโมฆะแล้ว ยังมีข้อตกลงอื่น ๆ อีกหลายประการ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว คงเหลือเฉพาะข้อ 4 และข้อ 5 เท่านั้น ที่ยังมีปัญหาอยู่ โดยปรากฏว่าฝ่ายโจทก์ได้นำเงินจำนวน 700,000 บาท ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์แล้วแจ้งให้จำเลยทราบ และจำเลยได้ไปขอรับเงินดังกล่าวแล้ว แต่เจ้าพนักงานไม่จ่ายเงินให้เพราะจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามโดยปราศจากภาระติดพันได้ แสดงว่าฝ่ายจำเลยก็มีความประสงค์จะบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงประนีประนอมยอมความ แสดงให้เห็นเจตนาของคู่กรณีว่าประสงค์ให้ข้อตกลงส่วนอื่นนอกเหนือจากเรื่องการถอนฟ้องคดีอาญาคงมีผลผูกพันคู่กรณีทั้งสองฝ่ายอยู่เช่นเดิม และข้อตกลงส่วนอื่นทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับกรณีพิพาททางแพ่งทั้งสิ้น ซึ่งไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายไม่เป็นการพ้นวิสัยหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามพฤติการณ์แห่งกรณีจึงสันนิษฐานได้ว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะ จึงไม่ทำให้ข้อตกลงประนีประนอมยอมความดังกล่าวตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ ข้อตกลงส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อตกลงเรื่องการถอนฟ้องคดีอาญายังคงมีผลผูกพันคู่กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 173
จำเลยนำที่ดินไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่บุคคลภายนอกหลังจากทำบันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความกันแล้วโดยจำเลยไม่มีอำนาจกระทำได้ตามข้อตกลง จำเลยย่อมรู้ว่าทำให้โจทก์ทั้งสามเสียเปรียบ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และศาลพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสามโดยปลอดภาระจำยอมได้ไม่เป็นการกระทบสิทธิของบุคคลภายนอก เพราะมิได้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าว แต่เป็นเรื่องที่ฝ่ายโจทก์จะบังคับเอาแก่จำเลยตามคำพิพากษาโดยลำพังเท่านั้น
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยโดยมิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมนั้นไม่ชอบ เพราะคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแม้จะไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใดก็เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งลงไว้ในคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 วรรคหนึ่ง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่าจำเลยปฏิบัติผิดข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้บังคับจำเลยรับเงินจำนวน 700,000 บาท ที่โจทก์ทั้งสามนำไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ และโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2597 ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ให้แก่โจทก์ทั้งสามโดยปลอดภาระใด ๆ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมบันทึกข้อตกลงภาระจำยอมรวม 4 รายที่จำเลยทำขึ้นเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2541 วันที่ 3 กันยายน 2541 และวันที่ 9 กันยายน 2541 ให้จำเลยรับผิดค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และค่าภาษีเงินได้เป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายทั้งหมด หากจำเลยไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม ให้โจทก์ทั้งสามนำคำพิพากษาไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้เองโดยลำพังและห้ามจำเลยกระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางการเก็บผลประโยชน์บนที่ดินโฉนดเลขที่ 2597 ดังกล่าวของโจทก์ทั้งสามโดยพลันและตลอดไปจนกว่าจะได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้เป็นของโจทก์ทั้งสาม
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า บันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความเป็นโมฆะ เนื่องจากมีการตกลงให้ถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน จำเลยมีความจำเป็นต้องจดทะเบียนภาระจำยอมให้บุคคลภายนอกจำนวน 4 คน มิฉะนั้นจำเลยจะถูกบุคคลทั้งสี่ฟ้องบังคับคดี ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาให้บันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยและนายวีระ ล้อบุณยารักษ์ เป็นโมฆะและห้ามโจทก์ทั้งสามเกี่ยวข้อง เช่น เก็บผลประโยชน์หรืออ้างสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินโฉนดพิพาทอีกต่อไป
โจทก์ทั้งสามให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ข้อตกลงประนีประนอมยอมความเป็นโมฆะเฉพาะข้อตกลงให้ถอนฟ้องคดีอาญาในข้อ (1) และให้จำเลยรับเงินจำนวน 700,000 บาท ที่โจทก์ทั้งสามนำไปวางไว้ที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดแพร่ และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2597 ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ให้แก่โจทก์ทั้งสามโดยปลอดภาระจำยอม ห้ามจำเลยกระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางไม่ให้โจทก์ทั้งสามเก็บผลประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2597 คำขออื่นตามฟ้องและตามฟ้องแย้งให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่า เดิมโจทก์ทั้งสามและจำเลยกับนายวีระ ล้อบุณยารักษ์ มีคดีพิพาทฟ้องร้องกันหลายคดีทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2541 ทั้งสองฝ่ายได้ทำบันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความกัน โดยมีข้อตกลงรวม 10 ข้อ โดยข้อตกลงข้อ 1 ระบุว่า โจทก์ทั้งสามตกลงยินยอมถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1134/2540 คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 763/2540 และที่ 808/2540 ที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้องจำเลยกับนายวีระต่อศาลจังหวัดแพร่ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 9 มีนาคม 2541 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า บันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความตกเป็นโมฆะทั้งหมดหรือเป็นโมฆะเฉพาะข้อ 1 ในส่วนที่ให้โจทก์ทั้งสามถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าว เห็นว่า คดีอาญาหมายเลขดำที่ 1134/2540 ที่ระบุให้โจทก์ทั้งสามถอนฟ้องนั้น เป็นคดีข้อหาปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นคดีอาญาแผ่นดินไม่ใช่คดีความผิดอันยอมความได้ ข้อตกลงให้ถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 แต่นอกจากข้อตกลงให้ถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวแล้ว ยังมีข้อตกลงอื่น ๆ อีกหลายประการ เช่น ข้อตกลงให้โจทก์ทั้งสามถอนฟ้องคดีแพ่งอีก 2 คดี ข้อตกลงให้โจทก์ทั้งสามถอนอายัดที่ดินโฉนดเลขที่ 2597 ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ แล้วให้จำเลยกับพวกดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนออกไปโดยให้ถือว่าโจทก์ทั้งสามได้ชำระหนี้จำนองเสร็จสิ้นแล้ว ข้อตกลงให้โจทก์ที่ 2 ชำระเงินจำนวน 700,000 บาท ภายในกำหนด 7 เดือน แล้วให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2597 ให้แก่โจทก์ทั้งสาม ข้อตกลงว่าค่าใช้จ่ายที่จำเลยกับพวกทำถนนคอนกรีตในที่ดินโฉนดเลขที่ 2597 จำเลยกับพวกจะไม่เรียกร้องเอาจากโจทก์ทั้งสามอีก เพราะถือว่าฝ่ายจำเลยได้เก็บเงินจากผู้เช่าแผงลอยเป็นการชดเชยการก่อสร้างถนนแล้ว ข้อตกลงให้ฝ่ายจำเลยถอนฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 947/2540 ของศาลจังหวัดแพร่ ข้อตกลงให้โจทก์ที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 1/41-42 ถนนเหมืองหิน ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ แล้วส่งมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ฝ่ายจำเลยโดยทั้งสองฝ่ายจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1377/2540 ของศาลจังหวัดแพร่ ข้อตกลงว่าฝ่ายจำเลยยินยอมให้โจทก์ที่ 2 เช่าตึกแถว 2 คูหา และยินยอมขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ที่ 3 รวม 2 คูหา ตามราคาระบุไว้และข้อตกลงให้โจทก์ทั้งสามเก็บผลประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2597 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2541 ตลอดไป ทั้งได้ความว่า ทั้งสองฝ่ายต่างได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว คงเหลือเฉพาะข้อตลงตามข้อ 4 และข้อ 5 เท่านั้นที่ยังมีปัญหาอยู่ โดยปรากฏว่าฝ่ายโจทก์ได้นำเงินจำนวน 700,000 บาท ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์จังหวัดแพร่แล้วแจ้งให้จำเลยทราบ และจำเลยได้ไปขอรับเงินดังกล่าวแล้วแต่เจ้าพนักงานไม่จ่ายเงินให้เพราะจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามโดยปราศจากภาระติดพันได้ แสดงว่าฝ่ายจำเลยก็มีความประสงค์จะบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงประนีประนอมยอมความ แสดงให้เห็นเจตนาของคู่กรณีว่าประสงค์ให้ข้อตกลงส่วนอื่นนอกเหนือจากข้อตกลงเรื่องการถอนฟ้องคดีอาญา คงมีผลผูกพันคู่กรณีทั้งสองฝ่ายอยู่เช่นเดิม และข้อตกลงส่วนอื่นทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับกรณีพิพาททางแพ่งทั้งสิ้น ซึ่งไม่ต้องห้ามโดยกฎหมาย ไม่เป็นการพ้นวิสัยหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามพฤติการณ์แห่งกรณีจึงสันนิษฐานได้ว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะ จึงไม่ทำให้ข้อตกลงประนีประนอมยอมความตกเป็นโมฆะทั้งฉบับข้อตกลงส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อตกลงเรื่องการถอนฟ้องคดีอาญาคงมีผลผูกพันคู่กรณีอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยมาในข้อนี้ชอบแล้ว…
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า คำพิพากษาที่ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2597 ให้แก่โจทก์ทั้งสามโดยปลอดภาระจำยอมชอบหรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 2597 ไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่บุคคลภายนอก 4 ราย หลังจากทำบันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความกันแล้ว โดยข้อตกลงดังกล่าวมิได้ให้อำนาจจำเลยกระทำการดังกล่าวได้ จำเลยย่อมรู้ว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้โจทก์ทั้งสามเสียเปรียบ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสามโดยปลอดภาระจำยอมจึงชอบแล้ว และคำพิพากษาดังกล่าวหาได้กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกไม่ เพราะมิได้พิพากษาบังคับให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าว แต่เป็นเรื่องที่ฝ่ายโจทก์จะบังคับเอาแก่จำเลยตามคำพิพากษาโดยลำพังเท่านั้น คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว
อนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยโดยมิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ชอบ เพราะคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแม้จะไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใดก็เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งลงไว้ในคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 วรรคหนึ่ง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 5,000 บาท แทนโจทก์ทั้งสาม ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยให้เป็นพับ

Share