แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้นั้น แม้จะออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ตามก็มิใช่เป็นกฎหมายที่ศาลจะรู้เองได้ แต่เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารจะต้องนำสืบ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบถึงประกาศดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากจำเลยผู้กู้ในอัตราร้อยละ16.5 ต่อปี โดยอาศัยประกาศนั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไป 395,250 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี และได้จำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันเงินกู้ดังกล่าว จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินแก่โจทก์ตามสัญญา ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน444,109.40 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 16.5 ต่อปีในต้นเงิน388,296.64 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน 388,296.64 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 392,473.49 บาทนับแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2526 ถึงวันชำระเสร็จ หักด้วยดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้โจทก์แล้วจำนวน 94,446.64 บาท แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสัญญากู้เงินระบุว่าผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีตามประเพณีของธนาคาร แต่ศาลล่างทั้งสองคิดให้ร้อยละ 15 ต่อปีโจทก์ฎีกาว่าได้มีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 6)ลงวันที่ 24 มกราคม 2526 กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินอัตราร้อยละ 17.5ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2526 ประกาศดังกล่าวเป็นกฎหมายศาลรู้เองโจทก์ไม่ต้องนำสืบ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวแม้จะออกมาโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ตาม ก็มิใช่เป็นกฎหมายที่ศาลจะรับรู้ได้เอง ถือได้แต่เพียงเป็นประกาศที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบถึงประกาศดังกล่าวโจทก์จะอ้างว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16.5ต่อปีโดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวหาได้ไม่ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.