แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเคยฟ้อง ร. เจ้าของรวมที่พิพาทคนหนึ่งหาว่าบุกรุกที่ดินและในคดีดังกล่าว ร. ได้อ้างสิทธิความเป็นเจ้าของร่วมขึ้นเป็นข้อต่อสู้ จึงถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์เพื่อต่อสู้กับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแทนโจทก์และโจทก์ร่วมในคดีนี้ (ในฐานะเจ้าของรวม) ด้วย การที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำคดีนี้ซึ่งมีประเด็นข้อโต้เถียงอย่างเดียวกันกับคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้อง ร. ในคดก่อนว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดมาฟ้อง เท่ากับเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ๑ แปลง โดยมีนางราตรี เจริญศรี และนางกิมเกียว เอี่ยมสำอางค์ เป็นเจ้าของครอบครองร่วมกันมา ๓ ปีเศษ เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๗ จำเลยได้กล่าวหานางราตรีว่า บุกรุกแย่งทำกินในที่ดินของจำเลยเนื้อที่ ๒ งานเศษ ซึ่งความจริงที่ดินส่วนนั้นเป็นของโจทก์ร่วมอยู่ด้วยไม่ใช่ของจำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยการครอบครองเป็นเจ้าของมากกว่า ๑๐ ปี จำเลยได้ฟ้องนางราตรีว่าบุกรุกและขอให้ขับไล่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะ ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๔/๒๕๑๗ ของศาลจังหวัดอุทัยธานี คดีถึงที่สุดแล้ว ขอให้เรียกนางกิมเกียวเจ้าของร่วมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม และขอให้ยกฟ้อง
นางกิมเกียว เอี่ยมสำอางค์ ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องโจทก์ว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๗ นางเจียร ศรีแดงเกตุ ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยนำพนักงานศาลรังวัดเอาที่ดินในเขตตาม น.ส.๓ ของโจทก์ร่วมด้านทิศใต้รวมทั้งที่งอกริมตลิ่งหน้าที่ดินของโจทก์ร่วมรวมเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๔๕ ตารางวา โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย ขอให้ห้ามจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การโดยถือคำให้การเดิมเป็นข้อต่อสู้แก้ฟ้องของโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๔/๒๕๑๗ ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนางราตรีซึ่งเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกับโจทก์และโจทก์ร่วมเป็นจำเลยในคดีก่อนที่ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดไปแล้ว จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์ โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่พิพาทคดีนี้เป็นที่แปลงเดียวกับที่ดินที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนางราตรี ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินดังกล่าวเป็นจำเลยในคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ ๔๔/๒๕๑๗ ของศาลชั้นต้นและศาลได้มีคำพิพากาาถึงที่สุดว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยให้ขับไล่นางราตรีกับบริวารออกไปจากที่พิพาท เห็นว่าเจ้าของรวมคนหนึ่งอาจใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้ลุคคลภายนอกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๙ การที่นางราตรีเจ้าของรวมคนหนึ่งได้อ้างสิทธิความเป็นเจ้าของเป็นข้อต่อสู้ในคดีก่อนถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์เพื่อต่อสู้กับจำเลยซึ่งเป็นโจทก์และเป็นบุคคลภายนอกในคดีนั้นแทนโจทก์และโจทก์ร่วมคดีนี้ด้วย ดังนั้น การที่โจกท์และโจทก์ร่วมในฐานะเจ้าของรวมนำคดีนี้ซึ่งมีประเด็นข้อโต้เถียงอย่างเดียวกันกับคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนางราตรีเจ้าของรวมคนหนึ่งในคดีก่อนว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดมาฟ้อง เท่ากับเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
พิพากษายืน