แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ฎีกาได้แต่ปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วในสำนวน
ในกรณีที่โจทก์ไม่มีสิทธิ์ฟ้องเรียกค่าเช่าจากจำเลยได้นั้น ย่อมไม่ตัดสิทธิ์โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย เมื่อปรากฎว่าจำเลยยึดถือทรัพย์ของโจทก์ไว้โดยปราศจากสิทธิ์อันชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยให้การต่อสู้ว่า ความจริงค่าเช่าเพียง ๑๖ บาท ไม่ใช่ ๒๕ บาทดังฟ้องโจทก์ และจำเลยไม่เคยค้างชำระค่าเช่าจำเลยมีสิทธิ์อยู่ได้ตามกฎหมายควบคุมค่าเช่า พ.ศ. ๒๔๘๖
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยฎีกาได้ฉะเพาะแต่ปัญหาข้อกฎหมาย ฉะนั้นตามฎีกาข้อแรกศาลฎีกาต้องฟ้องข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพะยานหลักฐานในสำนวนว่า จำเลยค้างค่าเช่าติด ๆ กันเกินกว่า ๒ งวดขึ้นไปและควรคำนวณค่าเสียหายให้โจทก์ตามอัตราค่าเช่าเดือนละ ๑๖ บาท ที่จำเลยฎีกาไม่ให้ฟังเช่นนั้นเป็นการฎีกาคัดค้านข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ ฎีกาของจำเลยอีกข้อหนึ่งที่ว่า โจทก์ฟ้องโดยไม่ได้รับความยินยอมจากสามี เพราะไม่มีหลักฐานปรากฎในสำนวน ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องความจากสามี เป็นหนังสือปรากฎต่อศาลแล้วแม้เอกสารนั้นจะขาดหายไปจากสำนวนในตอนหลัง ก็ไม่ทำให้ข้อเท็จจริงข้อนี้เปลี่ยนแปลงไปฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นการคัดค้านข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมาเช่นเดียวกัน รับฟังไม่ได้ ส่วนที่จำเลยคัดค้านว่าเมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าไ่ได้ จะเบี่ยงบ่ายเป็นฟ้องเรียกค่าเสียหาย ศาลก็พิพากษาให้ไม่ได้นั้น ข้อนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้เนื่องจากจำเลยยึดถือทรัพย์ของโจทก์ไว้โดยปราศจากสิทธิ์ต่างหาก ไม่เกี่ยวกับฟ้องเรียกค่าเช่าแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาคงพิพากษายืน