คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4341/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายข้าวสารระหว่างโจทก์กับจำเลย มิได้กำหนดให้จำเลยจัดหาข้าวสารเพื่อส่งมอบให้แก่โจทก์จากที่ใด การที่จำเลยทำสัญญาซื้อข้าวสารจากโรงสีชุมนุมสหกรณ์ที่จังหวัดนครนายก โจทก์ไม่ได้รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องด้วย เมื่อเกิดเพลิงไหม้โรงสีและข้าวเปลือกที่เตรียมไว้สีเป็นข้าวสารถูกเพลิงไหม้ไปด้วย จำเลยก็สามารถจัดหาข้าวสารจากที่อื่นส่งมอบให้แก่โจทก์ได้ จำเลยจะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยเพื่อปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในฐานะคู่สัญญาซื้อขายข้าวสารและผู้ค้ำประกันตามสัญญา ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยจำเลยให้การว่าไม่สามารถส่งมอบข้าวสารให้ได้เพราะเหตุสุดวิสัยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายข้าวสารกับโจทก์รวม 4 ฉบับ โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันทั้ง 4 ฉบับ จำเลยที่ 1 จึงทำสัญญาซื้อข้าวสารกับโรงสีชุมนุมสหกรณ์จังหวัดนครนายก เพื่อส่งมอบข้าวสารให้แก่โจทก์ตามสัญญา วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2524 เกิดเพลิงไหม้โรงสีชุมนุมสหกรณ์จังหวัดนครนายก ข้าวเปลือกที่เตรียมไว้เพื่อแปรสภาพเป็นข้าวสารส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ถูกเพลิงไหม้ไปด้วย วันที่ 12กุมภาพันธ์ 2524 โรงสีชุมนุมสหกรณ์จังหวัดนครนายกมีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ขอยกเลิกสัญญาซื้อข้าวสารโดยอ้างเหตุสุดวิสัยวันที่ 12 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2524 และวันที่ 5 มีนาคม 2524 โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 แจ้งให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบข้าวสารตามสัญญาให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 18 วัน นับแต่ที่ได้รับแจ้งตามข้อตกลงในสัญญาต่อมาวันที่ 21 เมษายน 2524 โจทก์ได้รับหนังสือจากจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2524 ขอบอกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวสารทั้ง4 ฉบับ หรือขอผ่อนผันส่งมอบข้าวสารให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 90 วันโดยอ้างเหตุสุดวิสัยเพราะเพลิงไหม้โรงสีชุมนุมสหกรณ์จังหวัดนครนายก แต่โจทก์ไม่ยินยอมและได้บอกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวสารพร้อมกับเรียกร้องเงินจากจำเลยที่ 2 ผู้ออกหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 เต็มจำนวนในสัญญา มีปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2ผิดสัญญาหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา เหตุที่ส่งมอบข้าวสารให้แก่โจทก์ไม่ได้เพราะเพลิงไหม้โรงสีชุมนุมสหกรณ์จังหวัดนครนายก ข้าวสารที่เตรียมไว้ถูกเพลิงไหม้ไปด้วยจึงเป็นเหตุสุดวิสัย เห็นว่า สัญญาซื้อขายข้าวสารไม่ได้ระบุหรือกำหนดว่าให้จำเลยที่ 1 จัดหาข้าวสารเพื่อส่งมอบให้แก่โจทก์จากที่ใด เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 จะพิจารณาหาซื้อข้าวสารจากที่ใดก็ได้ การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อข้าวสารจากโรงสีชุมนุมสหกรณ์จังหวัดนครนายก โจทก์ไม่ได้รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องด้วย เมื่อเกิดเพลิงไหม้โรงสี ข้าวเปลือกถูกเพลิงไหม้ด้วยก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ 1 กับโรงสีไม่เกี่ยวกับโจทก์ จำเลยที่ 1 จะยกเป็นข้ออ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยเพื่อปัดความรับผิดต่อโจทก์ด้วยไม่ได้เพราะจำเลยที่ 1 สามารถจัดหาข้าวสารจากที่อื่นส่งมอบให้แก่โจทก์ได้การที่ข้าวสารมีราคาสูงขึ้นหรือต้องซื้อจากที่ห่างไกลไม่สะดวก ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เหล่านี้ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุไม่ต้องรับผิด เมื่อจำเลยที่ 1 ส่งมอบข้าวสารให้แก่โจทก์ไม่ได้จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน การที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ผ่อนผันขยายระยะเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อส่งมอบข้าวสารให้แก่โจทก์เป็นการใช้สิทธิตามสัญญา ถือไม่ได้ว่าใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เป็นกรณีที่ไม่อาจทำให้จำเลยชนะคดีได้ ศาลชั้นต้นจึงไม่จำเป็นต้องกำหนดเป็นประเด็นตามที่จำเลยให้การ ส่วนปัญหาว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใดนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา และเกิดความเสียหายแก่โจทก์จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายข้าวสารข้อ 8 และสัญญาค้ำประกันทั้ง 4 ฉบับ ที่จำเลยที่ 1 นำไปมอบแก่โจทก์ เพื่อประกันการปฏิบัติตามสัญญา ส่วนจำนวนเงินที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายข้าวสารข้อ 7 นั้น ถือได้ว่าเป็นการกำหนดเบี้ยปรับกันไว้ในกรณีผิดสัญญา คดีนี้จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบข้าวสารให้แก่โจทก์เลย โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองใช้เงินเต็มตามสัญญาก็เป็นจำนวนที่สมควรตามพฤติการณ์แล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาชอบแล้วฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share