แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามและ น. กับ ส. ต่างเป็นทายาทของเจ้ามรดก จำเลยทั้งสามไปขอรับมรดกที่ดินพิพาทโดยระบุบัญชีหรือเครือญาติของเจ้ามรดกว่ามีเฉพาะจำเลยทั้งสามกับ น. และ ส. โดยไม่ระบุโจทก์ทั้งสามด้วย ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นเรื่องปิดบังทรัพย์มรดก อันจะเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามถูกกำจัดมิให้รับทรัพย์มรดกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องใจความว่า โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายตาและนางติง ซึ่งอยู่กินเป็นสามีภริยากันก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ต่อมานางติงถึงแก่กรรม นายตาจึงได้แต่งงานกับนางบัวลัย โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส จำเลยทั้งสามเป็นบุตรนายตาและนางบัวลัย จำเลยทั้งสามจึงมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายตา ขณะที่นายตาอยู่กินกับนางติงนั้น นางติงได้รับมรดกเป็นที่ดินปลูกบ้าน ๑ แปลงกับที่นาอีก ๑ แปลง โจทก์ทั้งสามและนายตาได้ครอบครองร่วมกันและแทนกันในที่ดินทั้งสองแปลงนี้ตลอดมาจนนายตามีบุตรกับนางบัวลัยดังกล่าวมาแล้ว ต่อมาเดือนมกราคม ๒๕๒๐ นายตาถึงแก่กรรม โจทก์ที่ ๑ ได้ครอบครองที่นาแทนพวกโจทก์ ส่วนที่จำเลยที่ ๓ ได้อาศัยพวกโจทก์ทำนา จำเลยทั้งสามได้ไปยื่นเรื่องราวขอโอนรับมรดกที่พิพาททั้งสองแปลงโดยไม่แจ้งชื่อโจทก์ทั้งสามว่าเป็นทายาท ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นสินเดิมของมารดาโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสามจึงถูกกำจัดมิให้รับมรดก ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแสดงว่า ที่พิพาททั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองของโจทก์ทั้งสามและโจทก์ทั้งสามเป็นทายาทโดยธรรมของนายตา ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่พิพาททั้งสองแปลงเป็นของนายตา มุงคะวงษ์ โดยนายตาได้รับมรดกมาจากบิดามารดา หาใช่สินเดิมของนางติงไม่ จำเลยทั้งสามได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาททั้งสองแปลงตลอดมา โจทก์ทั้งสามหาได้เข้าเกี่ยวข้องไม่ ที่พิพาทดังกล่าวจึงเป็นกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองของจำเลยทั้งสามและทายาทอื่นอีก จำเลยทั้งสามกับพวกอีก ๒ คนซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของนายตาได้ยื่นเรื่องราวขอโอนรับมรดกต่อทางราชการ โจทก์ทั้งสามก็ทราบและไม่คัดค้านทางราชการจึงทำนิติกรรมโอนมรดกให้จำเลยทั้งสามกับพวก โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิในที่พิพาทดังกล่าว และฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความแล้ว ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า ที่ดินพิพาท (ที่นา) ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๒๘๕ (ทะเบียนเลขที่ ๑๒๕๒) ตำบลดอนนางหง์ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นของโจทก์ (ทั้งสาม) ซึ่งเป็นทายาทของนายตา มุงคะวงษ์ ห้ามจำเลย (ทั้งสาม) และบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป นอกจากนี้ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิในที่ดินนาแปลงพิพาทร่วมกับจำเลยทั้งสามและทายาทของนายตา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสามฎีกา
คดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะที่นาพิพาท ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสามกับนางเนื่องและนายสมพรต่างเป็นทายาทของเจ้ามรดก ฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างครอบครองที่นาพิพาทร่วมกันคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสามถูกกำจัดมิให้รับมรดกที่นาพิพาทหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามกับพวกไปแจ้งขอรับมรดกของนายตาโดยไม่ได้ระบุบัญชีเครือญาติต่อทางราชการว่า โจทก์ทั้งสามเป็นทายาทของนายตาด้วย เป็นการปิดบังทรัพย์มรดก จึงถูกกำจัดมิให้รับมรดกที่นาพิพาทนั้น เห็นว่า แม้ในการไปขอรับมรดกดังกล่าวของนายตา ฝ่ายจำเลยจะระบุบัญชีเครือญาติของนายตาเจ้ามรดกว่า มีเฉพาะจำเลยทั้งสามนางเนื่องและนายสมพรโดยไม่ระบุโจทก์ทั้งสามด้วยก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นเรื่องปิดบังทรัพย์มรดก อันจะเป็นเหตุให้ถูกกำจัดมิให้รับทรัพย์มรดกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มทตรา ๑๖๐๕ ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.